ถอดรหัสความสำเร็จ "ตลาดหุ้นเวียดนาม" จากผู้ตามไทยสู่ดาวรุ่งแห่งอาเซียน
"เวียดนาม" ดาวรุ่งแห่งเอเชีย! เศรษฐกิจโตเร็ว แรงงานคุณภาพ การลงทุนจากทั่วโลกหลั่งไหล "ดร.นิเวศน์"เชื่อว่าตลาดหุ้นเวียดนามยังโตได้มากกว่า 10 ปี พร้อมประเมินสถานการณ์ "ทรัมป์" รอจังหวะหุ้นโลกระส่ำ "ตีแตก" ขยายพอร์ตลงทุนหุ้นโกลบอลด้วยกลยุทธ์เลือกหุ้น Super Stock
KEY
POINTS
- "เวียดนาม" ดาวรุ่งแห่งเอเชีย! เศรษฐกิจโตเร็ว แรงงานคุณภาพ การลงทุนจากทั่วโลกหลั่งไหล
- "ดร.นิเวศน์"เชื่อว่าตลาดหุ้นเวียดนามยังโตได้มากกว่า 10 ปี
- ประเมินสถานการณ์ "ทรัมป์" รอจังหวะหุ้นโลกระส่ำ "ตีแตก" ขยายพอร์ตลงทุนหุ้นโกลบอลด้วยกลยุทธ์เลือกหุ้น Super Stock
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ตลาดหุ้นเวียดนาม แสดงถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพในการเติบโต ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราการเติบโตของ GDP สูงอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 6-7% ต่อปีถือเป็นอัตราที่สูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาค อุตสาหกรรมหลัก ทั้งการผลิต เทคโนโลยี และอีคอมเมิร์ซ ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ตลาดหุ้นมีบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตสูงดึงดูดนักลงทุน
การลงทุนจากต่างประเทศและนโยบายภาครัฐที่เอื้อต่อการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนปรนข้อจำกัดการถือหุ้นของต่างชาติ มาตรการจูงใจด้านภาษีและกฎระเบียบที่โปร่งใส ทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามกลายเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลก
ไม่น่าแปลกใจเหตุไฉน "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร" นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) เลือกลงทุนตลาดหุ้นเวียดนามเป็นตลาดต่างประเทศที่แรกด้วยเห็นอนาคตที่เติบโตนั่นเอง
"ดร.นิเวศน์" เล่าเรื่องราวกับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า ผมลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามน่าจะเกือบ 10 ปี แนวคิดในตอนนั้นเพื่อกระจายความเสี่ยงออกไปต่างประเทศ ตอนนั้นค้นหาหลายประเทศมาก สุดท้ายคิดว่า "เวียดนาม" น่าจะดีที่สุด ด้วยเศรษฐกิจมีโอกาสขยายตัวดีในอนาคต
ทว่าการเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงแรกนั้น ผมไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับหุ้นเวียดนามเลย ไม่รู้จัก! เพียงแต่ดูว่า "ประเทศเวียดนาม" กําลังคล้ายกับว่าเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาแรง พอไปก็ไม่รู้ว่าจะลงทุนตัวไหน เลยใช้วิธีเลือก "ซื้อ" โดยวิธีสแกนหรือคัดหุ้นแบบ VI ด้วยสูตรกรองหุ้น ดังนี้คือ
กรองขั้นแรก "P/Eไม่เกิน 10 เท่า"
กรองขั้นสอง "ปันผลไม่ต่ำกว่า5%"
กรองขั้นสาม "หุ้นใหญ่ Market Cap.ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท"
นี่คือ "เครื่องกรองหุ้น 3 มิติ" ปรากฏว่าสามารถกรองหุ้นเวียดนามที่มีกว่า 700 บริษัท เหลือเพียงมากกว่า 100 บริษัท ในช่วงเวลานั้นผมตัดสินใจซื้อหุ้นทั้งหมดกว่า 100 ตัว เพราะเป็นหุ้นที่ผ่านการกรอง 3 ข้อดังที่กล่าวข้างต้น ถือเป็นหุ้นที่ค่อนข้างใช้ได้
"ดร.นิเวศน์" จําได้ว่าตอนนั้นตั้งเป้าซื้อแต่ละตัวไม่เกิน 3-5 ล้านบาท ใช้ระยะเวลาในการซื้อไม่ต่ำกว่า 6 เดือน และด้วยความที่เป็นหุ้นตัวเล็กหลังจากซื้อครบในตอนนั้นผมกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในหุ้นทั้งหมด
"ช่วงแรกที่เข้าไปซื้อหุ้นเวียดนาม ตั้งใจซื้อแล้วถือ ไม่ได้ทําอะไรเพราะว่าเราไม่มีเวลาไปติดตาม ในตอนนั้นช่วง 3-4 ปีแรกตลาดหุ้นเวียดนามไม่มีการเคลื่อนไหวมากนัก ติดออกจะนิ่งๆมากกว่า หุ้นที่ถือยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะเป็นหุ้นตัวเล็กและเป็นหุ้นที่เรียกว่าหุ้น Value จริงๆ คือ ราคาถูกมาก แต่ว่าคุณภาพก็ไม่ค่อยได้ ส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจเล็กๆจึงถือหุ้นทิ้งไว้"
จนกระทั่งในช่วงหลังที่ตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาเป็นเรื่องเป็นราวและผมเริ่มมีความรู้เพิ่มขึ้นจึงเข้าตรวจสอบ ปรากฏว่าหุ้นที่ซื้อไว้กว่า 100 บริษัท ไม่ perform พูดง่ายๆไม่ได้ผลตอบแทนที่ดีเฉลี่ยไม่เกิน 10%ต่อปี
ในช่วงหลังตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มเปิดมากขึ้น เริ่มมีหุ้นตัวใหญ่เข้ามามากขึ้น เป็นบริษัทเอกชนถือว่าเติบโตเร็วมาก เพราะใช้วิธีบริหารแบบทันสมัย ด้วยความเป็นเจ้าของบริษัทจึงมีความพยายามที่จะสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ ผมจึงเพิ่มเงินลงทุนเข้าไปซื้อในบริษัทขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น
"หุ้นล็อตแรกที่ซื้อกว่า 100 บริษัทนั้นไม่ได้ตาย เพียงแต่ว่ามันไม่ค่อยโต ไม่มีผลงาน ดังนั้นการลงทุนรอบสองผมจึงเริ่มไปซื้อหุ้นตัวใหญ่ขึ้น ใช้เงินมากขึ้นแต่ซื้อในช่วงตลาดที่มันเริ่มดี ตลาดเริ่มมีแอคชั่น หุ้นพวกนี้ก็เริ่มโตแล้วก็เริ่มมีกองทุนรวมเข้าไปลงทุน โดยเฉพาะหุ้นกองทุนรวมไดมอนด์ได้เข้าไปลงทุนเช่นกัน ซึ่งทุกวันนี้ยังถืออยู่"
เมื่อตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มมีทิศทางที่ดี ผมเริ่มมั่นใจ เริ่มรู้จักหุ้นเวียดนามมากขึ้น แล้วเวียดนามเริ่มโตเร็วมาก "ถนนทุกสายวิ่งสู่ตลาดหุ้นเวียดนาม" ด้วยความที่มีหุ้นดีโดดเด่นขึ้นมา "การลงทุนรอบที่สามจึงเกิดขึ้น" ถือเป็นการลงทุนรอบสุดท้ายในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รอบนี้ใช้เงินลงทุนเยอะที่สุด พร้อมกับขายหุ้นตัวเล็กทั้งหมดกว่า 100 บริษัทที่ถือในรอบแรก แม้จะมีบางตัวเน่าไปเลยก็มีแต่ไม่มาก เพื่อนำเงินที่ได้มาเปลี่ยนเป็นหุ้นตัวใหญ่ทั้งหมด
การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามรอบหลังซื้อในนาม "บริษัท ตีแตก จำกัด" ซึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามโดยเฉพาะ ข้อดีของการลงทุนในนามบริษัทคือเสียภาษีเพียง 20% แต่หากลงทุนในนามส่วนตัวเสียภาษีสูงสุด 35%เลยทีเดียว
อีกหนึ่งข้อดีของ "บริษัทจํากัด" ก็คือ "หุ้นที่บริษัทขาดทุน หากเราขายขาดทุน สามารถนำมาชดเชยกําไรได้"
รูปแบบของ "บริษัท ตีแตก จำกัด" คล้ายกับ "บริษัท เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway)" ของ "วอร์เรน บัฟเฟตต์" บริษัทโฮลดิ้งที่ถือหุ้นเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น คล้ายกับ "ตีแตก" ที่ถือหุ้นเวียดนามเพียง 10 กว่าบริษัท เน้นหุ้นตัวใหญ่ราว 5-6 ตัว
"ปัจจุบัน ตีแตกลงทุนที่เวียดนาม 100% พอร์ตส่วนตัวลงทุนหุ้นไทยกว่า 60% อีก 30% เป็นเวียดนาม ที่เหลือเป็นเงินสด 7-8% แต่อนาคตอยากจะไปลงทุนต่างประเทศเพิ่ม และเน้นไปที่หุ้นซุปเปอร์สต็อก"
ในอนาคต "ตีแตก" มีโอกาสที่จะขยายการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก ผมตั้งเป้าจัดพอร์ตการลงทุนในอนาคต 1-2 ปีข้างหน้าผมจะมีพอร์ตใหญ่ 3 กลุ่มที่มีขนาดใกล้เคียงกันหรือเท่ากัน คือ พอร์ตแรก ลงทุนหุ้นไทย , พอร์ตที่สอง ลงทุน"ตลาดหุ้นเวียดนาม" และ พอร์ตที่สาม ลงทุนใน "หุ้นโลก" อาทิ อเมริกา,จีน เป็นต้น หุ้นของประเทศที่ก้าวหน้า รวมถึงหุ้นไฮเท็คขนาดใหญ่ระดับโลก
"ผมลงทุนในตลาดเวียดนามครบ 1 ใน 3 ของเงินทั้งหมด แต่ในส่วนของหุ้นไทย ผมยังมีหุ้นถึงเกือบ 2 ใน 3 ซึ่งผมทยอยขายออกเพื่อให้เหลือ 1 ใน 3 แต่ในส่วนของหุ้นโลก ผมยังไม่ได้ซื้อลงทุน ผมศึกษาและเฝ้ารอดูสถานการณ์และยังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะซื้อหุ้นในตลาดไหน เวลาไหนและหุ้นตัวไหน เพราะยังไม่รู้ว่าผลกระทบจากนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์จะเป็นอย่างไร"
ว่าที่จริงผมมีความคิดชัดเจนว่าหุ้นที่ผมจะลงทุนโดยเฉพาะนอกประเทศไทยจะต้องเป็น "หุ้นซุปเปอร์สต็อก" คือเป็นหุ้นที่ดีมากๆในแง่ที่มันมีความสามารถในการแข่งขันที่ยั่งยืนเป็นหุ้น "ผู้ชนะ" ในอุตสาหกรรมหรือไม่ก็ "ไม่แพ้"และต้องเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
หรือไม่ก็เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ตายและไม่ถูก Disrupt ได้ง่าย และก็ยังโตได้ในระดับหนึ่งที่ค่อนข้างดี และทั้งหมดนั้น ราคาหุ้นก็ต้องยุติธรรมหรือถูกด้วย
6 คุณสมบัติหุ้น Super Stock!
✅ ผู้นำอุตสาหกรรม-ต้องเป็นเบอร์หนึ่ง ครองตลาดและมีข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่ง
✅ กำไรเติบโตสูงต่อเนื่อง-รายได้เพิ่มทุกปี กำไรสุทธิพุ่ง อัตรากำไรแข็งแกร่ง
✅ ธุรกิจยั่งยืน-สินค้าหรือบริการจำเป็นต่อชีวิต หรือเป็นแบรนด์ขวัญใจตลาด
✅ การเงินแกร่ง-กระแสเงินสดมั่นคง หนี้สินต่ำ สภาพคล่องสูง
✅ ผู้บริหารทรงพลัง-วิสัยทัศน์เยี่ยม โปร่งใส ไร้ประวัติเสื่อมเสีย
✅ ศักยภาพโตระยะยาว-อุตสาหกรรมขยายตัวเร็ว มีโอกาสโกอินเตอร์
ถามว่า..ไทยสามารถถอดแบบความสำเร็จ "หุ้นเวียดนาม" ได้หรือไม่
ผมมองว่าตลาดหุ้นไทยแอดวานซ์กว่าตลาดหุ้นเวียดนาม ฉะนั้นจะไปถอดแบบจากเวียดนามคงไม่ได้ เพราะเวียดนามมีหนทางของตนเอง แต่ว่าตลาดหุ้นเวียดนามนั้นผมว่าส่วนที่น่าจะต่างออกไปก็คือ หุ้นค่อนข้างเป็นมหาชนแล้วมันจะไม่มีคนที่จะไปปั่นหุ้นเป็นเรื่องเป็นราว ถือเป็นความแตกต่าง
ขณะเดียวกัน การที่หุ้นเวียดนามไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่ การดูแลบริษัทก็อาจจะแตกต่างจากหุ้นไทยที่มีเจ้าของถือหุ้นหลัก เรียกได้ว่าพัฒนาบริษัทให้มันโตเร็ว บางทีเจ้าของหุ้นในเวียดนามถือหุ้นเพียง 10-15% ถือว่าเยอะมาก เป็นแบบมหาชน ซึ่งเป็นโมเดลแบบอเมริกา นั่นก็คือ "บริษัทมหาชนก็คือมหาชน ไม่มีใครใหญ่จริงๆ"
แต่ "หุ้นไทย" ต่างออกไป ยังเป็นเอกชนค่อนข้างมาก ซึ่งไม่ว่าทั้งแบบมหาชน หรือ เอกชน ถือว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป
"อนาคตเวียดนามจากนี้ มองว่ายังไปอีกไกล เพราะเวียดนามยังไม่ได้โตมาก เศรษฐกิจในช่วงหลังๆยิ่งโตเร็วขึ้น ล่าสุดจีดีพีโตกว่า 7% ไตรมาสล่าสุดโตกว่า 7% เพราะฉะนั้นยังคิดว่าสามารถโตแบบนี้ไปได้อีกมากกว่า 10 ปี"


