คำต่อคำ : เกมใหญ่ PTT พลิกธุรกิจฟื้นกำไร-เปิดความจริงแผนควบรวม!
PTT พลิกเกมสู้ศึกเศรษฐกิจ! ปรับแผนธุรกิจ รับมือความท้าทาย สร้างความแกร่งจากภายใน พร้อมอัดฉีดงบลงทุนปี 2568 แตะระดับ 25,000 ล้านบาท เดินหน้าขยายโรงแยก-ท่อส่งก๊าซฯ ดัน EBITDA พุ่ง 3 หมื่นล้านบาทภายในปี 2570 พร้อมยืนยันไม่ควบรวม "TOP-IRPC-PTTGC"
KEY
POINTS
- PTT พลิกเกมสู้ศึกเศรษฐกิจ! ปรับแผนธุรกิจ รับมือความท้าทาย สร้างความแกร่งจากภายใน
- อัดฉีดงบลงทุนปี 2568 แตะระดับ 25,000 ล้านบาท เดินหน้าขยายโรงแยก-ท่อส่งก๊าซฯ ดัน EBITDA พุ่ง 3 หมื่นล้านบาทในปี 2570
- ยืนยันไม่ควบรวม "TOP - IRPC - PTTGC"
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ทั้งปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ เงินเฟ้อ อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน และแรงกดดันจากอุปสงค์-อุปทานที่แปรปรวน ธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ "บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT" ไม่รอช้า! เดินหน้าปรับกลยุทธ์ต่อเนื่อง
กลับมาโฟกัสธุรกิจที่ถนัด โดยเน้น Hydrocarbon พร้อมทบทวนแผน Non-Hydrocarbon สอดคล้องกับ Synergy ใน กลุ่ม ปตท. มุ่งเสริมความแข็งแกร่งจากภายใน ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดต้นทุน ด้วย Operational Excellence และเทคโนโลยีดิจิทัล ขับเคลื่อนองค์กรให้โปร่งใส เป็นธรรม และยั่งยืน สร้างโอกาสเติบโตท่ามกลางความผันผวนของตลาดโลก
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT ยอมรับว่า แม้ในปี 2568 นี้ยังคงเผชิญความท้าทายต่อเนื่อง แต่ด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF)คาดการณ์จีดีพีโลกแตะระดับ 3.3%
พร้อมคาดการณ์เศรษฐกิจไทย เติบโต 2.9% รวมถึงผลจากนโยบายของประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" ซึ่ง ปตท.ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อีกทั้งติดตามผลกระทบทางด้านการค้า ค่าเงิน และดอกเบี้ยอย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการพิจารณาในการลงทุน และการบริหารงานในภาพรวม
"แม้ทรัมป์ลดความสำคัญพลังงานสะอาด แต่เราไม่ได้รับผลกระทบ เพราะทิศทางของโลกยังมุ่งไปพลังงานสะอาด ปตท. จึงเดินหน้าดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และไฮโดรเจนตามแผน อีกทั้งมุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางพลังงาน สร้างความแข็งแรงองค์กร ลดความเสี่ยง รักษาเสถียรภาพธุรกิจ พิจารณาการลงทุนอย่างระมัดระวัง พร้อมดูแลผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนอย่างสมดุลสู่อนาคตที่ยั่งยืน"
อัดงบ 5 ปีกว่า 5 หมื่นล้าน
บริษัทวางเป้าหมายงบลงทุน 5 ปี แตะระดับ 55,000 ล้านบาท โดยในปี 2568 คาดใช้เงินลงทุนราว 25,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจแก๊สเป็นหลัก และรองลงมาคือการซื้อขายแก๊ส (trading) รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure) ที่เกี่ยวข้องกับการแยกแก๊สและท่อส่งแก๊ส นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้การลงทุนมีความคุ้มค่ามากขึ้น โดยจะมีการลงทุนที่น้อยลงแต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
"เงินลงทุนปีนี้ถือว่าค่อนข้างสูง เพราะมีการปรับเปลี่ยนที่สำคัญ แต่ในปีที่ผ่านมาเราลงทุน 26,000 ล้านบาท เพื่อปรับกลยุทธ์ไปสู่การลงทุนที่คุ้มค่าแต่สร้างผลกำไรในระดับสูง และจะมีการปรับปรุงงบใหม่ในปีถัดไป โดยจะมีการพิจารณาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต"
ความจริง! แผนควบรวม
บริษัทยืนยันว่าไม่ได้ศึกษาแผนควบรวมธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นในกลุ่ม PTT ทั้ง บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC และ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC อย่างแน่นอน คาดว่าจะเป็นความคาดเคลื่อนในการสื่อสาร แต่ยอมรับว่าอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรเข้ามาร่วมลงทุนในธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งธุรกิจในอนาคต
เงื่อนไขสำคัญคือ PTT ต้องเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยปัจจุบัน ปตท.ถือหุ้นในกลุ่มบริษัทราว 45% อย่างไรก็ดีหากมีความชัดเจนเกี่ยวกับพันธมิตรใหม่จะแจ้งให้ทราบในทันที
ความคืบหน้า "ลดค่าไฟ"
นโยบายการลดค่าไฟ โดยปรับโครงสร้างราคาก๊าซ (Pool Gas) เพื่อลดค่าไฟงวด พ.ค.-ส.ค.68 ลง 40 สตางค์นั้น เบื้องต้น ปตท.ยังไม่ได้รับการประสานงานจากกระทรวงพลังงาน
อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 ที่ผ่านมา ปตท. สนับสนุนราคาก๊าซฯเพื่อลดค่าไฟ รวมถึงสนับสนุนราคาพลังงาน เช่น NGV และ LPG ราว 28,000 ล้านบาท
ความคืบหน้าโครงการไฮโดรเจนในไทย?
โครงการไฮโดรเจนในประเทศไทยมีการพัฒนาอยู่บ้าง แต่ยังถือว่าช้าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะด้านพลังงานที่ยังไม่พัฒนาเต็มที่ ตัวอย่างเช่น การแยกน้ำเพื่อผลิตไฮโดรเจน ซึ่งมีการพูดถึงการใช้เทคโนโลยีในการแยกน้ำเพื่อผลิตออกซิเจนและไฮโดรเจน
นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฮโดรเจน เช่น ไฮโดรเจนบลู ซึ่งผลิตจากพลังงานทั่วไปและมีการเก็บคาร์บอนร่วมด้วย โดยพิจารณาว่าความคุ้มค่าของการลงทุนในไฮโดรเจนจะดีขึ้นในอนาคต
"ปัจจุบัน โครงการไฮโดรเจนในประเทศไทยยังอยู่ในระหว่างการสำรวจและพัฒนา โดยมีการลงทุนในหลายโครงการเพื่อทดสอบและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง"
แผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต ?
ปตท.ตั้งเป้าหมายให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2025 โดยจะมีการปรับปรุงโรงงานและใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการปรับพอร์ตโฟลิโอธุรกิจเพื่อเพิ่มการใช้พลังงานสะอาด เช่น การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและการทำรีไซเคิลในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ไฮโดรเจนและการเก็บคาร์บอน (CCS) เป็นส่วนหนึ่งของแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยจะมีการพัฒนาและสำรวจความเหมาะสมในการลงทุนในเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
