SINGER-SGC เข้าสำนวนไทยที่ว่า “อัฐยายซื้อขนมยาย” หรือไม่?

หุ้นกู้ หรือตราสารหนี้ที่ออกโดยภาคเอกชน เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ในการระดมทุนสำหรับใช้ในกิจการต่างๆ ของบริษัท ซึ่งหุ้นกู้จะมีทั้งระยะสั้น และระยะยาว ส่วนใหญ่เราจะมักเห็นเอกชนออกหุ้นกู้ อายุ 1-5 ปี และหุ้นกู้อีกประเภท คือ หุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ ก็ยังได้เห็นกันมาบ้างในตลาด
 
แต่ที่สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดเป็นอย่างมาก ก็เห็นจะเป็น บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER บริษัทในเครือ บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ที่เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ระยะสั้น ไม่ด้อยสิทธิ มีหลักประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2567 อายุ 12 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 6.50% ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอน วันที่ 17 ก.ย.2567

สำหรับหลักประกัน คือ หุ้นสามัญของ บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC มูลค่าไม่น้อยกว่า 2 เท่าของหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายได้ ขณะที่มี บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และเป็นผู้จัดจำหน่ายหุ้นกู้ในครั้งนี้ และมี ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMBT เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้ 
 
ทั้งนี้ หุ้นกู้ดังกล่าวเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบัน และ/หรือ นักลงทุนรายใหญ่ วันที่ 2-4 ก.ย.2567 จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท 

ขณะที่อันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกหุ้นกู้ อันดับ “BB+” แนวโน้ม “Stable” เมื่อวันที่ 14 มี.ค.2567 โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด

โดย SINGER จะนำเงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้ ไปใช้เพิ่มทุนในบริษัทย่อยรองรับการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัท

“บริษัทย่อย” ในที่นี้ คือ SGC หรือไม่? (SINGER ถือหุ้น SGC สัดส่วน 74.92%) เพราะเมื่อต้นเดือน ก.ค.2567 ทาง SGC ประกาศเพิ่มทุนจดทะเบียน 5,232 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 3,270 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 8,502 ล้านบาท 

โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 5,232 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) จำนวนหุ้นที่จัดสรร (หุ้น) 3,270 ล้านหุ้น ในอัตราส่วน 1 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยราคาเสนอขายจะเป็นราคาที่มีส่วนลดไม่เกิน 15% ของราคาตลาด ณ วันกำหนดราคาเสนอขาย

และรองรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ครั้งที่ 1 (SGC-W1) ซึ่งจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ (ก่อนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้) โดยไม่คิดมูลค่าการเสนอขาย ในอัตราส่วน 5 หุ้นสามัญเดิม (ไม่รวมหุ้นเพิ่มทุนที่จัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่) ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ SGC-W1 กำหนดอัตราการใช้สิทธิของ SGC-W1 1 หน่วย ใบสำคัญแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้นสามัญ มีอายุ 1 ปี โดยราคาใช้สิทธิแปลงสภาพจะเป็นราคาที่มีส่วนลด 10% ของราคาตลาด ณ วันกำหนดราคาใช้สิทธิแปลงสภาพ

รวมทั้งรองรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัท ครั้งที่ 2 (SGC-W2) ซึ่งจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทที่จองซื้อและได้รับจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วน โดยไม่คิดมูลค่าการเสนอขาย ในอัตราส่วน 2.5 หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จองซื้อและได้รับการจัดสรร ต่อ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ กำหนดอัตราการใช้สิทธิของ SGC-W2 1 หน่วย ใบสำคัญแสดงสิทธิ ต่อ 1 หุ้นสามัญ มีอายุ 3 ปี โดยราคาใช้สิทธิแปลงสภาพจะเป็นราคาที่มีส่วนเพิ่ม 10% ของราคาตลาด ณ วันกำหนดราคาใช้สิทธิแปลงสภาพ

โดย SGC จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 8,829 ล้านบาท ไปใช้ในการชำระคืนเงินกู้ยืมจากบริษัทใหญ่ และนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ จะเสนอให้ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติในวันที่ 7 ส.ค.2567 

จากทั้งหมดที่ไล่เลียงมาทำให้เชื่อได้ว่า การออกหุ้นกู้ อายุ 12 วัน ของ SINGER เพื่อนำเงินไปเพิ่มทุนใน SGC และเมื่อ SGC ได้เงินมาก็นำไปชำระคืนหนี้ให้ SINGER ส่วน SINGER เมื่อได้รับชำระคืนหนี้มาก็นำเงินที่ไปไถ่ถอนหุ้นกู้ดังกล่าว วิธีการแบบนี้เป็นการ “อัฐยายซื้อขนมยาย” ?

เห็นดอกเบี้ยหุ้นกู้ 6.50% กับระยะเวลาแค่ 12 วัน อย่างเพิ่งตาลุกวาว ต้องลองคำนวณกันดูดีๆ ว่าความเสี่ยงกับผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับ คุ้มค่าหรือไม่ 

ว่าแต่ทำไมหุ้นกลุ่มนี้เขามีอะไรแปลกๆ มาทำเซอร์ไพรส์ตลาดอยู่ตลอดเลยนะ!! อย่างต้นปี 66 JMART ก็มาบอกว่าถูก Margin Call ทำให้ต้องขายหุ้น Big Lot ให้กับนักลงทุนสถาบัน เพื่อนำเงินไปวางหลักประกันเพิ่มเติม ไม่ให้โดน Force Sell มาปีนี้ SINGER ออกหุ้นกู้ อายุ 12 วัน อีกแล้ว