posttoday

SET ลุ้นรีบาวด์แต่ Upsideจํากัด 1,300-1,320จุด ระวัง!สงครามเทคโนโลยีรุนแรง

31 กรกฎาคม 2567

เกาะติดงบไตรมาส 2/67 บริษัทจดทะเบียนไทย กลุ่ม Real Sector คาดฟื้นตัวดีขึ้น ความชัดเจนปัจจัยการเมืองในประเทศ พร้อมเศรษฐกิจจีนยังอ่อนแอและสงครามเทคโนโลยีทวีความรุนแรงกดดันตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก โบรกคาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งกรอบ 1,300-1,320 จุด เน้นลงทุนหุ้นรายตัว

     ฝ่ายวิเคราะห์ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า ตัวเลข JOLTS มิ.ย. ของสหรัฐลดลงสู่ 8.18 ล้านตําแหน่ง สูงกว่าตลาดคาด ส่วนดัชนีความเชื่อมันผู้บริโภคสหรัฐ ก.ค. ปรับขึ้นสูงกว่าคาด

     ขณะที่ ครม. อนุมัติเกณฑ์ใหม่กองทุน Thai ESG เพิ่มวงเงินลดหย่อนเป็น 3 แสนบาท ลดเวลาถือครองเหลือ 5 ปี คาดเม็ดเงินใหม่เข้ามา 2-3 หมื่นล้านบาท รวมทั้งเห็นชอบมาตรการสินเชื่อ SME Green Productivity 1.5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังเห็นชอบมาตรการภาษีหนุนคนไทยที่มีศักยภาพที่ทํางานในต่างประเทศให้กลับเข้ามาทํางานในประเทศเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมาย 15 กลุ่ม ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีทั้งตัวผู้ถูกจ้างและนายจ้าง

     กระทรวงคลังเตรียมจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ระดมเงินอีก 1 แสนล้านบาท ด้าน สบน. เปิดจําหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ของคลัง ในปีงบฯ 2567 ครั้งที่ 2 วงเงินรวม 4 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่ 13 ส.ค. ดอกเบี้ยสูงสุด 3.40% ต่อปี ด้านกระทรวงท่องเที่ยวฯ ระบุจํานวนนักท่องเที่ยวสะสม 1 ม.ค.-28 ก.ค.67 รวมกว่า 20.3 ล้านคน สร้างรายได้ราว 9.57 แสนล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย

     พาณิชย์ปรับคาดการณ์ส่งออกข้าวใหม่ปีนี้เป็น 8.2 ล้านตัน หลัง 6M67 ส่งออกกว่า 5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 25.12%YoY หลังผู้นําเข้าต้องการเพิ่ม ขณะที่อินเดียยังคงใช้มาตรการควบคุมการส่งออกข้าว และค่าเงินบาทอ่อนค่าทําให้ราคาข้าวไทยอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ ส่วน ตลท. ยกระดับการประเมิน SET ESG Ratings เน้นข้อมูลที่ บจ. เปิดเผยสู่สาธารณะ ด้าน ก.ล.ต. เตรียมตั้งกองทุนเยียวยานักลงทุนแก้กฎหมายนําเงินค่าปรับจากการกระทําผิดชดเชยให้ผู้เสียหาย คาดชัดเจนภายใน 3 ปี

 

SET ลุ้นรีบาวด์แต่ Upside จํากัด

     "แนวโน้มหุ้นไทยวันนี้(31 ก.ค.67)คาดแกว่งภายในกรอบ 1,300 - 1,320 จุด โดยนักลงทุนในตลาดรอติดตามผลประชุมเฟดเพื่อประเมินทิศทางการลดดอกเบี้ย ทั้งนี้ภาพรวมแนวโน้มหากไม่ต่ำกว่า 1,290 จุด แม้ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวได้ อย่างไรก็ตาม คาดกรอบบนถูกจํากัดบริเวณแนวต้าน 1,330-1,335 จุด

     ช่วงสั้นมอง SET ลุ้นรีบาวด์ได้ แต่ยังมี Upside จํากัด เนื่องจากยังรอติดตามประกาศผลประกอบการ 2Q67 ของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ไทย กลุ่ม Real Sectorซึ่งคาดจะฟื้นตัวดีขึ้น แต่ยังรอความชัดเจนของปัจจัยการเมืองในประเทศ ส่วนปัจจัยต่างประเทศคาดว่ามีโอกาสรีบาวด์ได้หลังสัปดาห์ก่อนมีแรงขายทํากําไรในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีออกมา ส่วนนโยบายการเงินของ FED และ BoE คาดยังมีแนวโน้มคงดอกเบี้ยเช่นเดิม และต้องติดตามผลประกอบการ 2Q67 ของ บจ. ในสหรัฐที่ยังจะออกมาซึ่งคาดแข็งแกร่ง ขณะที่เศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอและสงครามเทคโนโลยีที่มีท่าทีรุนแรงขึ้นยังเป็นความเสี่ยงของตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก" 

     ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนํา “Selective Buy” หุ้น AMATA ไตรมาส 2/67 คาดกําไรสุทธิ 480 ลบ. เติบโต 53%YoY และ 3.5%QoQ แม้ Gross Margin มีแรงกดดันจากการโอนกรรมสิทธิ์ของอมตะชลบุรีในสัดส่วนน้อย แต่คาดมีกําไรพิเศษจากการขายเงินลงทุน ขณะที่มี Backlog ในมือถึง 15,216 ลบ. ช่วยหนุนการเติบโตของผลประกอบการในช่วง 2H67 และปี 2568

     และ หุ้น BBL ราคาหุ้นปรับลง 7%YTD เป็นโอกาสเข้าซื้อ มองว่ามีปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นจาก 1) การตั้งสํารอง (credit cost) ลดลงในช่วงที่เหลือของปีนี้ 2) การเติบโตของสินเชื่อที่โดดเด่น 3) NIM ที่แข็งแกร่ง และ 4) อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ลดลง ยังคงเลือกเป็นหุ้นเด่นกลุ่มธนาคาร แนะนําราคาซื้อวันนี้ไม่เกิน 136 บาท

4 ธีมเด่นรอบสัปดาห์

     อย่างไรก็ดีระหว่างรอความชัดเจนของปัจจัยในประเทศและติดตามงบ 2Q67 ของ บจ.ไทย กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนํา “Selective Buy” ใน 4 ธีม ดังนี้คือ

     1) หุ้นกลุ่ม Earnings Play ซึ่งคาด 2Q67 กําไรจะยังสามารถเติบโตทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้ง Valuation ยังไม่แพง เลือก MINT BEM OSP TU CPF TRUE AMATA

     2) หุ้นคาดได้อานิสงส์ Cover Short หลัง ตลท. เริ่มใช้มาตรการ Uptick ตั้งแต่ 1 ก.ค.67 และเป็นหุ้นพื้นฐานดีมี ESG Rating ระดับ A-AAA หรืออยู่ใน Global Sustainability Index เลือก DELTA TOP BEM MINT AOT

     3) หุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากแผนปรับเงื่อนไขกองทุน Thai ESG ใหม่ โดยขยายวงเงินเป็น 3 แสนบาทและลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี เลือก ADVANC AOT CPALL BDMS BBL KTB GULF

     4) ราคาน้ำมันดิบ Brent ฟื้นตัว แม้ความไม่สงบในตะวันออกกลางยังไม่กระจายออกในวงกว้าง แต่ยังมีการโจมตีเรือบรรทุกสินค้าในทะเลแดง และโครงสร้างพื้นฐานน้ำมันในรัสเซียกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยประเมินกรอบราคา 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งมองยังสามารถมีหุ้นน้ำมันสําหรับป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง จึงยังคงเลือกหุ้นน้ำมันขั้นต้นอย่าง PTTEP