"RATCH" วางงบลงทุน 1.5 หมื่นล้านบาท ซื้อโรงไฟฟ้า - EV - โลจิสติกส์
"นิทัศน์ วรพนพิพัฒน์"วางเป้ากำลังผลิตไฟฟ้าปีนี้ 700 เมกะวัตต์ งบลงทุน 15,000 ล้านบาทซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศและต่างประเทศ ดีลพันธมิตรโลจิสติกส์-สถานีชาร์จ EV ด้าน"วดีรัตน์ เจริญคุปต์"คาดไตรมาส 2/67ดี โรงไฟฟ้าหงสาเดินเครื่องปกติ-เริ่มรับรู้รายได้ไพตัน
นายนิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าในปี 2567 นี้ อยู่ที่ 700 เมกะวัตต์(MW) จากการเข้าซื้อกิจการ(M&A)โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์(COD) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตรในเวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และ ออสเตรเลีย กำลังการผลิตรวม 550 เมกะวัตต์ คาดปิดดีลภายในปีนี้ รวมถึงโรงไฟฟ้าใหม่ๆที่ทำร่วมกับพันธมิตร คาดกำลังผลิตไม่น้อยกว่า 500 เมกะวัตต์
ปัจจุบัน บริษัทมีการลงทุนโครงการในประเทศไทย, สปป.ลาว, ออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ลงทุนแล้วรวม 10,817.25 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นกำลังการผลิตที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์ 9,007.29 เมกะวัตต์ และกำลังการผลิตที่กำลังพัฒนาและก่อสร้าง รวม 1,809.96 เมกะวัตต์ เป็นกำลังผลิตพลังงานหมุนเวียน ประมาณ 1,392.78 เมกะวัตต์ คิดเป็น 76.95%
ส่วนธุรกิจ Non-Power บริษัทเดินหน้าธุรกิจเกี่ยวกับระบบสาธารณูปโภค เน้นด้านคมนาคมระบบรางและรถ รวมถึงพันธมิตรที่เชี่ยวชาญด้านระบบโลจิสติกส์ คาดชัดเจนภายในปีนี้ รวมถึงธุรกิจบริการสุขภาพ ทั้งโรงพยาบาลเอกชน , สุขภาพ ทั้ง Wellness , Healthcare เป็นต้น อีกทั้งธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทั้ง เชื้อเพลิงแห่งอนาคต โดยเริ่มศึกษาเชื้อเพลิงไฮโดรเจน,ไบโอแมส, Green Hydrogen ,โครงการกักเก็บพลังงาน/แบตเตอรี่, เทคโนโลยีการดัก การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS) รวมถึงระบบผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ลอยน้ำ ซึ่งทั้งหมดนี้จะดำเนินการร่วมกับพันธมิตรเดิมและรายใหม่ๆ โดยวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้เติบโต 5% ในพ.ศ.2570
นอกจากนี้ บริษัทสนใจธุรกิจ EV ด้านการขนส่ง , ระบบโลจิสติกส์ และ สถานีชาร์จอีวี เบื้องต้นอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรที่เชี่ยวชาญ คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้
นายนิทัศน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า งบลงทุนในปีนี้อยู่ที่ 15,000 ล้านบาท รองรับการลงทุนโครงการ Greenfield โครงการ Brownfield และแผนซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ทั้งในไทย, ออสเตรเลีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และลาว เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายเพิ่มกำลังผลิตไม่น้อยกว่า 30% ในพ.ศ.2570 จากปัจจุบันมีกำลังผลิต 26%
อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริษัทวางเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 (พ.ศ. 2593) และวางแนวทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไว้ 3 วิธีการ พร้อมทั้งกำหนดเป้าหมายย่อยในปี 2573 ประกอบด้วย การเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานโดยจะลดปริมาณความเข้มข้นการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2558 การเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานทดแทนและธุรกิจสีเขียว ซึ่งมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานทดแทนให้ได้ร้อยละ 30 ของกำลังการผลิตรวม และการชดเชยหรือดูดกลับคาร์บอน โดยมีเป้าหมายเพิ่มการดูดกลับคาร์บอนจากภาคป่าไม้ให้ได้ร้อยละ 1 ของปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในประเทศไทย
ผลงานไตรมาส 2/67 ดี
นางวดีรัตน์ เจริญคุปต์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงิน RATCH กล่าวว่า แนวโน้มรายได้ในไตรมาส 2/67 คาดว่าจะดีกว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมา เนื่องจากรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าหงสากลับมาเดินเครื่องปกติหลังจากหยุดซ่อมบำรุงในไตรมาสแรกของปีนี้ อีกทั้งรับรู้รายได้จากการลงทุนโรงไฟฟ้า Paiton กำลังผลิตติดตั้งรวม 2,045 เมกะวัตต์ ปิดดีลสำเร็จในช่วงต้นเดือน พ.ค.67 คาดว่าจะรับรู้กำไรตามสัดส่วนการถือหุ้นราว 2,000 ล้านบาทต่อปี
ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ปีนี้คาดเติบโตมากกว่า 5% จากปีก่อนทำได้ 14,124 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพูที่เปิดดำเนินการ, ธุรกิจโรงพยาบาลพริ้นซ์สกลนคร รวมถึงทยอยรับรู้รายได้โรงไฟฟ้า ประเทศเวียดนาม และโรงไฟฟ้าพลังความร้อน Paiton ประเทศอินโดนีเซีย
Paiton ต่อยอดธุรกิจ
บทวิเคราะห์ บล.กรุงศรี แนะนำซื้อ RATCH ราคาเป้าหมาย 41 บาท โดยมอง Neutral ต่อข้อมูลในที่ประชุมนักวิเคราะห์ข้อมูลแผนกำลังการผลิตไฟฟ้าระยะยาวและเป้าทยอย COD ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ฝ่ายวิเคราะห์รวมกำไรของโรงไฟฟ้า Paiton เข้ามาในประมาณการ ปรับราคาเป้าหมายปี 67 เป็น 41 บาท/หุ้น (เดิม 42 บาท) ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น Buy (เดิม Neutral) มอง overhang EPS dilution และความกังวลทิศทางการเติบโตของบริษัทหลังโรงไฟฟ้า RATCHGEN ทยอยหมดอายุในพ.ศ.2568-2570 จะทยอยผ่อนคลาย หลังได้โรงไฟฟ้า Paiton เข้ามาหนุนกำไรในระยะยาว คาด EPS จะกลับไปสู่ค่าเฉลี่ยก่อนเพิ่มทุนในพ.ศ.2568 มองระดับ PER ปัจจุบันยังไม่ได้สะท้อนการเติบโตต่อเนื่องของกำไรปกติเฉลี่ย 34% CAGR ในพ.ศ.2567-2569


