posttoday

เทรดสนั่น! APO เปิดเทรดวันแรก 1.74 บาท เหนือจอง 75.76%

02 เมษายน 2567

บวกแรง! APO เปิดเทรด mai วันแรก 1.74 บาท พุ่ง 75.76% จากราคาไอพีโอ 0.99 บาท ล่าสุด ปิดช่วงเช้า ทะยาน 164.65% แตะ 1.63 บาท สะท้อนความมั่นใจในปัจจัยพื้นฐาน ตั้งเป้ารายได้โตไม่ต่ำกว่า 10% ชูกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท เอเชียนน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) หรือ APO เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) วันนี้ (2 เม.ย.2567) เป็นวันแรก ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร โดยเปิดที่ราคา 1.74 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.75 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 75.76% จากราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 0.99 บาท
 
ล่าสุด ปิดซื้อขายช่วงเช้า เวลา 12.30 น. ปรับเพิ่มขึ้น 1.63 บาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 164.65% มาอยู่ที่ 2.62 บาท มูลค่าการซื้อขายรวม 1,695.97 ล้านบาท

เทรดสนั่น! APO เปิดเทรดวันแรก 1.74 บาท เหนือจอง 75.76%

ทั้งนี้ APO ประกอบธุรกิจสกัดน้ำมันปาล์มดิบและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หลักจากการสกัดน้ำมันปาล์มดิบและผลพลอยได้ รวมถึงผลิตพลังงานไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพเพื่อจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 
 
APO เสนอราคาขาย IPO ที่ 0.99 บาท/หุ้น จำนวนไม่เกิน 100,000,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 29.41% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลัง IPO โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิหลังจากหักเงินสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่ได้กำหนดไว้ในข้อบังคับบริษัทและกฎหมาย

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้

1.ลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องจักรในกระบวนการผลิต
2.เงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
 
ทางด้านผลการดำเนินงานในปี 2564-2566 บริษัทมีรายได้จากการขาย อยู่ที่ 1,061.70 ล้านบาท 2,091.93 ล้านบาท และ 1,526.06 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 12.33 ล้านบาท 28.25 ล้านบาท และ 12.99 ล้านบาท ตามลำดับ

นายสิทธิภาส อุดมผลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียนน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) หรือ APO เปิดเผยว่า พอใจกับราคาหุ้น APO ที่เข้าซื้อขายวันนี้เป็นวันแรก สะท้อนความมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานของบริษัท และจากภาพรวมอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันปาล์มสูงขึ้นในทุกภาคธุรกิจ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลให้ความต้องการด้านอุปโภคบริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นตาม ซึ่งถือเป็นโอกาสของบริษัทที่จะขยายฐานลูกค้า และเพิ่มกำลังการผลิตรองรับความต้องการดังกล่าว รวมถึงแผนการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ

สำหรับทิศทางการดำเนินงานปี 2567 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อน และมีความสามารถการทำกำไรที่ดีขึ้น โดยบริษัทมีแผนขยายฐานลูกค้ามากขึ้น ทั้งในกลุ่มผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค โรงกลั่นน้ำมันปาล์มดิบ กลุ่มจัดหาและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ (Trader) และฐานลูกค้าเดิมที่จะทำสัญญาซื้อขายระยะยาวเพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคต

จากแผนธุรกิจดังกล่าว บริษัทจึงระดมทุนปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต เปลี่ยนเครื่องจักรหม้อนึ่งจากแนวนอนเป็นแนวตั้ง เพื่อให้ได้น้ำมันที่มีคุณภาพดี และลดต้นทุนในระบบผลิต คาดว่าจะปรับปรุงแล้วเสร็จพร้อมดำเนินงานได้ภายในปี 2568 ซึ่งบริษัทวางกลยุทธ์การผลิตน้ำมันปาล์มดิบให้สอดคล้องกับสถานการณ์ สภาพอากาศ และภาวะเศรษฐกิจอยู่เสมอ 

ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทมีอัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization Rate) เฉลี่ยอยู่ที่ 53.86% ปริมาณทะลายปาล์มสดที่เข้าสู่กระบวนการผลิต 232,655 ตัน โดยบริษัทมีกำลังการผลิตสูงสุด (Maximum Capacity) อยู่ที่ 432,000 ตัน นอกจากนี้ การปรับปรุงดังกล่าวยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะที่เงินระดมทุนที่เหลือจะเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับขยายธุรกิจ

ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาโอกาสทางธุรกิจทั้งต้นน้ำ และปลายน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตให้ครบวงจรยิ่งขึ้น ตั้งแต่ด้านการจัดหาวัตถุดิบ การพัฒนาเมล็ดพันธุ์ปาล์มที่ให้ผลผลิตคุณภาพสูง การเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการผลิตให้หลากหลาย เช่น การต่อยอดธุรกิจจากผลิตภัณฑ์ผลพลอยได้ การผลิตน้ำมันเมล็ดในปาล์ม ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต

ด้านธุรกิจผลิตพลังงานไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพเพื่อจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) บริษัทได้เพิ่มเครื่องจักรในช่วงไตรมาส 3/2566 เพื่อให้สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าต่อหน่วยได้มากขึ้น ส่งผลให้ในปี 2567 จะเป็นปีแรกที่บริษัทสามารถผลิตไฟฟ้าได้เต็มกำลังการผลิต 1 เมกะวัตต์ ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ 

ทั้งนี้ ธุรกิจผลิตพลังงานไฟฟ้าเป็นธุรกิจไม่มีต้นทุนวัตถุดิบ เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้มาจากกระบวนการบำบัดน้ำเสียก่อให้เกิดก๊าซชีวภาพนำมาผลิตกระแสไฟฟ้า ส่งผลให้มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง โดยในปี 2566 มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 42.55%

นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในครั้งนี้ จะส่งเสริมให้ APO สามารถสร้างการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

ภายหลังการระดมทุนจะทำให้ศักยภาพของ APO ที่มีฐานะการทางการเงินที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว เติบโตยั่งยืนมากขึ้น และจากความเชี่ยวชาญในธุรกิจกว่า 40 ปี ประกอบกับผู้บริหารรุ่นที่ 3 ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ มีมุมมองการพัฒนาประสิทธิภาพแตกต่างจากผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยมุ่งเน้นเพิ่มความสามารถการทำกำไร ทั้งการปรับปรุงกระบวนการผลิต ลดการสูญเสีย การเพิ่มปริมาณการผลิตผลิตภัณฑ์ทุกชนิด และการมีต้นทุนที่ต่ำลง เพิ่มความสามารถการแข่งขันและขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น 

อีกทั้งเงินที่ได้จากการระดมทุนนำไปขยายกิจการเต็มจำนวน จึงเชื่อว่า APO จะเป็นหุ้นที่น่าสนใจ เหมาะที่จะลงทุนในระยะยาว รวมทั้งบริษัทมีนโยบายจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิหลังหักเงินสำรองตามกฎหมาย รวมถึงเงินสำรองอื่นตามที่บริษัทกำหนด

ดร. วรนันท์ ถาวรนันท์ กรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) หรือ KFS ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน กล่าวว่า เชื่อว่า APO จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในการซื้อขายวันแรกและช่วงต่อจากนี้ จากการกำหนดราคาเสนอขายที่เหมาะสม ซึ่งสอดคล้องกับภาวะการลงทุนในปัจจุบัน อีกทั้งผู้ถือหุ้นเดิมสมัครใจที่จะไม่ขายหุ้นที่ถืออยู่เพิ่มเติมจากเกณฑ์ Silent Period ของตลาดหลักทรัพย์ฯ (Voluntary Share Lockup) เป็นระยะเวลา 6 เดือน 

ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจที่มั่นคง ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีความพร้อมด้านกระแสเงินสด และกำไรสะสมที่อยู่ในระดับดี อีกทั้งความสามารถในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ 

นอกจากนี้ บริษัทมีความพร้อมขยายธุรกิจในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มความต้องการน้ำมันปาล์มดิบเติบโตต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่า APO จะเป็นหุ้นน้องใหม่ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน ทั้งในแง่ของการเติบโตและการปันผลให้กับผู้ถือหุ้น เมื่อผนวกกับการพัฒนาประสิทธิภาพระบบการผลิตอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ APO สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่งในอนาคต