posttoday

TRUE รับรู้ผลประโยชน์จาก Synergy เกินเป้า หนุน EBITDA ปี 66 โต 3.6%

22 กุมภาพันธ์ 2567

TRUE แจ้งงบปี 66 ขาดทุนสุทธิ 14,581 ล้านบาท เหตุในไตรมาส 4/66 มีบันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว 10,899 ล้านบาท หากไม่รวมผลกระทบดังกล่าว ขาดทุนสุทธิเพียง 379 ล้านบาท ขณะที่ EBITDA เติบโต 3.6% รับรู้ผลประโยชน์จาก Synergy เกินเป้า บอร์ดมีมติงดจ่ายปันผล

นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2566 นับว่าประสบความสำเร็จเกินคาด ด้วยจุดแข็งที่ผสมผสานกัน ส่งผลให้รายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น 

โดยบริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณค่าและดำเนินการตามแผนบูรณาการและเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ ทำให้สามารถบรรลุเกินเป้าหมายในการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมในปีนี้ โดยความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในปีที่ผ่านมาในการนำองค์กรใหม่สู่การสร้างวัฒนธรรมและแนวทางการทำงานที่เป็นหนึ่งเดียว พร้อมทั้งผสมผสานจุดแข็งในการดำเนินงานในธุรกิจ 

ดังนั้นบริษัทพร้อมแล้วสำหรับการเติบโตและความสามารถในการทำกำไรในปี 2567 อีกทั้งยังได้รับปัจจัยสนับสนุนทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น การเติบโตของภาคการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ การเพิ่มขึ้นของการใช้งานข้อมูล และไลฟ์สไตล์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ในไตรมาส 4/2566 บริษัทประสบความสำเร็จจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมสุทธิ (Net Synergies) คิดเป็นมูลค่า 1,000 ล้านบาท จากการดำเนินการตามแผนงานสำคัญอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลดีต่อ EBITDA และงบลงทุน (CAPEX) อีกทั้งการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยได้เกินกว่าเป้าหมาย จึงส่งผลดีทั้งการประหยัดพลังงานและค่าเช่าพื้นที่ 

ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการงบลงทุน (CAPEX) การรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมเป็นไปอย่างต่อเนื่องด้วยการนำเสนอการให้บริการที่รวมเทคโนโลยีด้านการสื่อสารทั้งในแบบเคลื่อนที่และประจำที่ (FMC) ที่หลากหลายเข้าด้วยกัน ด้วยยอดผู้ใช้งานลูกค้าในกลุ่มนี้ที่เติบโต 16% นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ โดยมี ARPU เพิ่มขึ้น 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน 

“บริษัทจะยังคงมุ่งมั่นที่ดำเนินการตามกลยุทธ์ที่สำคัญ โดยใช้จุดแข็งในการดำเนินการทางการตลาดแบบผสมผสานของเรา ดำเนินการตามแผนการบูรณาการ และบรรลุผลสำเร็จในการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมเพื่อส่งมอบคุณค่าสูงสุดให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเรา” นายมนัสส์ กล่าว 

ขณะเดียวกัน ด้วยความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า พร้อมทั้งนำเสนอมูลค่าเพิ่มเพื่อยกระดับไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของลูกค้า แบรนด์ดีแทคและทรูยังคงเป็นผู้นำในกลุ่มนักท่องเที่ยวและกลุ่มแรงงานต่างด้าว โดยมียอดผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 0.5 ล้านเลขหมาย จากไตรมาสก่อน คิดเป็น 1% ทำให้มียอดรวมเป็น 51.9 ล้านเลขหมาย ณ สิ้นปี 2566 แบ่งเป็น ผู้ใช้บริการระบบเติมเงิน 36.3 ล้านเลขหมาย และผู้ใช้บริการระบบรายเดือน 15.6 ล้านเลขหมาย 

ทั้งนี้ บริษัทเป็นผู้ให้บริการเครือข่าย 5G ครอบคลุมมากที่สุดในประเทศ โดยครอบคลุมประชากร 90% พร้อมด้วยฐานผู้ใช้บริการ 5G ที่มากสุดถึง 10.5 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสก่อน 

นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 14,580.96 ล้านบาท สำหรับไตรมาส 4/2566 มีผลขาดทุนสุทธิ 11,279 ล้านบาท เนื่องจากมีบันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการด้อยค่าสินทรัพย์ที่มีความซ้ำซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย และค่าใช้จ่ายพิเศษอื่นๆ รวม 10,899 ล้านบาท 

โดยหากไม่รวมผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ขาดทุนสุทธิในไตรมาส 4/2566 จะอยู่ที่ 379 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 1,219 ล้านบาท จากไตรมาสก่อน เนื่องจาก EBITDA ที่เพิ่มขึ้นและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงิน  

EBITDA ในปี 2566 อยู่ที่ 85,735 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) อยู่ที่ 54% โดย 70% ของ EBITDA ในปี 2566 มาจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy)

สำหรับในไตรมาส 4/2566 EBITDA อยู่ที่ 22,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.0% นับเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกันที่มีการเติบโต และเพิ่มขึ้น 3,000 ล้านบาท นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ ทั้งนี้ การปรับเพิ่มของ EBITDA ในไตรมาส 4/2566 จำนวน 1,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มาจากเติบโตของรายได้ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดย 50% ของการเติบโตมาจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม ขณะที่อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) ได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 55.4 % ในใตรมาส 4/2566

ส่วนรายได้รวมในปี 2566 อยู่ที่ 202,765 ล้านบาท ลดลง 5.3% จากปีก่อน สำหรับรายได้รวมในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 52,348 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% จากไตรมาสก่อน โดยได้แรงหนุนจากรายได้จากการให้บริการและจากการขายที่เพิ่มขึ้น 

ทั้งนี้ รายได้จากการให้บริการไม่รวม IC (ตามการจัดประเภทรายการใหม่) ในปี 2566 อยู่ที่ 158,609 ล้านบาท ลดลง 0.04% จากปีก่อน สำหรับไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 40,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.0% จากไตรมาสก่อน มาจากรายได้ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 2.3% และรายได้ธุรกิจออนไลน์เพิ่มขึ้น 2.5% จากไตรมาสก่อน 

โดยรายได้ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของการกลับมาอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าว พร้อมกับการมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับฐานลูกค้าเดิม 

ส่วนการปรับขึ้นของรายได้ธุรกิจออนไลน์ ได้รับแรงหนุนจากการเน้นการเพิ่มคุณภาพของการได้มาซึ่งผู้ใช้บริการ ด้วยการปรับข้อเสนอที่น่าสนใจและการตอบสนองที่ดีอย่างต่อเนื่องต่อการขายพ่วงของผลิตภัณฑ์และบริการที่เกิดภายหลังการควบรวมกิจการ ขณะที่ธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิก (Pay TV) มีรายได้จากการให้บริการแบบบอกรับสมาชิก คงที่จากไตรมาสก่อน 

ทางด้านรายได้จากการขายในไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 6,274 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.7% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการเปิดตัว iPhone ใหม่ ในไตรมาส 3/2566

“ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลการดำเนินงานที่มีรายได้เติบโตต่อเนื่อง และ EBITDA เติบโตขึ้นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน ในขณะที่สามารถรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy) ในปี 2566 ได้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้” นายนกุล กล่าว 

ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานในปี 2566 ดังลก่าว ส่งผลให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 22 ก.พ.2567 มีมติอนุมัติการงดจ่ายเงินปันผลประจำปี 2566 

สำหรับการคาดการณ์ในปี 2567 บริษัทคาดว่าจะสามารถทำกำไรภายหลังการปรับปรุง (Normalized) ได้ในปี 2567 รายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) จะเติบโต 3-4%  EBITDA จะเติบโต 9-11% และค่าใช้จ่ายลงทุนรวมงบลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากการควบรวม (CAPEX) ประมาณการณ์ไว้ที่ 30,000 ล้านบาท