posttoday

TISCO โชว์กำไรสุทธิปี 66 โต 1.1% แตะกว่า 7,302 ล้าน

15 มกราคม 2567

TISCO ประกาศงบปี 66 กำไรสุทธิ 7,302.61 ล้านบาท โต 1.1% เหตุรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ โต 8.6% ตามเงินให้สินเชื่อโต 7.2% ด้าน NPL อยู่ที่ 2.22% ส่วนกำไรสุทธิไตรมาส 4/66 ลดลง 1.4% มาอยู่ที่ 1,781.66 ล้านบาท จากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอ่อนตัวลง 17 %

บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO เปิดเผยผลการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 7,302.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.1% จากปี 2565 สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ 8.6% ตามเงินให้สินเชื่อที่ขยายตัว 7.2% แม้ว่าในปีนี้ ต้นทุนทางการเงินของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นถึง 93.9% ตามทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในตลาด ประกอบกับการปรับอัตราเงินนำส่งจากสถาบันการเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) กลับสู่ระดับปกติที่ 0.46% ต่อปี

ในส่วนของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอ่อนตัวลง 6.4% เนื่องจากการชะลอตัวของธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุน โดยรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์อ่อนตัวลง 16.5% จากตลาดทุนที่ผันผวนรุนแรง ซึ่งส่งผลต่อเนื่องถึงผลขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านงบกำไรขาดทุน (FVTPL) 

นอกจากนี้ ค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์ฟื้นตัวช้ากว่าคาด โดยเฉพาะธุรกิจนายหน้าประกันภัยที่ชะลอตัวลงตามปริมาณการปล่อยสินเชื่อใหม่ที่ลดลง อย่างไรก็ดี ธุรกิจจัดการกองทุนสามารถกลับมาขยายตัวได้ 5.4% เป็นผลมาจากทั้งค่าธรรมเนียมพื้นฐานที่เติบโตตามสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร รวมถึงการรับรู้ค่าธรรมเนียมตามผลประกอบการของธุรกิจจัดการกองทุน (Performance Fee)

สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.7% จากแผนการลงทุนระยะยาวเพื่อการขยายตัวของธุรกิจ ในขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ลดลงจากปีก่อนหน้า และอยู่ในระดับต่ำที่ 0.3% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย

ในปี 2566 สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPLs) มีจำนวน 5,222.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.1%จากสิ้นปี 2565 และคิดเป็นอัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) ที่ 2.22% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก 2.09% เมื่อสิ้นปี2565 ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากกลยุทธ์การขยายสินเชื่อไปในกลุ่มที่มีอัตราผลตอบแทนสูง ประกอบกับผลกระทบจากหนี้ครัวเรือนและค่าครองชีพที่สูงขึ้น

ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2566 ของบริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,781.66 ล้านบาท ลดลง 1.4% จากไตรมาส 4/2565 สาเหตุหลักมาจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอ่อนตัวลง 17.0% เนื่องมาจากธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุน ทั้งรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลงและการรับรู้ผลขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงิน ประกอบกับธุรกิจธนาคารพาณิชย์ชะลอตัวลงตามสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอ

อย่างไรก็ดี รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 6.6% จากสินเชื่อที่ขยายตัว ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 5.4% ตามแผนการเติบโตในระยะยาวของบริษัท ส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2566 กำไรสุทธิลดลง 5.0% จากการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต ด้านรายได้รวมจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 0.4% จากไตรมาส 3/2566 เป็นผลมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น 0.2% และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 0.8% ค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์ฟื้นตัวได้ดีจากไตรมาส 3/2566 รวมถึงบริษัทมีการรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมตามผลประกอบการของธุรกิจจัดการกองทุน (Performance Fee) มีจำนวน 51.39 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ 

ในขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุนอ่อนตัวลง ทั้งค่าธรรมเนียมธุรกิจหลักทรัพย์ ค่าธรรมเนียมพื้นฐานธุรกิจจัดการกองทุน และผลขาดทุนจากเครื่องมือทางการเงินที่เพิ่มขึ้น เนื่องมาจากความผันผวนของตลาดทุน ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึho 1.0% จากค่าใช้จ่ายตามฤดูกาลที่เพิ่มขึ้น