posttoday

เศรษฐกิจดี-กำไร บจ.ฟื้น หุ้นไทย Q1 ลุ้น 1476 สิ้นปีแตะ 1590 จุด

08 มกราคม 2567

สมาคมนักวิเคราะห์เห็นพ้องเศรษฐกิจดี ดอกเบี้ยโลกลด กำไรบริษัทจดทะเบียนแกร่งดันหุ้นไทยไตรมาส 1/67 ทดสอบระดับ 1,476 จุด พร้อมหวังเม็ดเงินไหลเข้ากองทุน TESG กว่าหมื่นล้าน บวกฟันด์โฟลว์ไหลเข้าครึ่งหลังหนุนดัชนีสิ้นปีแตะระดับ 1,590 จุด เชียร์ AOT - CPALL - CPN - GPSC เข้าตา

เศรษฐกิจดี-กำไร บจ.ฟื้น หุ้นไทย Q1 ลุ้น 1476 สิ้นปีแตะ 1590 จุด      นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการและกรรมการผู้อำนวยการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) กล่าวในงาน IAA Analyst Survey ครั้งที่ 1/2567 หัวข้อ “สรุปผลสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 26 สำนัก วิเคราะห์แนวโน้มการลงทุนไตรมาส 1/2567" ว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ค่าเฉลี่ยดัชนีหุ้นไทยในไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 1,476 จุด ผลจากกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) และตัวเลขภาวะเศรษฐกิจ(GDP)คาดขยายตัวดี บวกแรงอัดฉีดจากงบประมาณภาครัฐคาดเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังเข้ามาหนุน อย่างไรก็ดี ตลาดทุนคาดหวังให้รัฐบาลช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เพิ่มขึ้น 

     ด้านกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 คาดตลาดเฉลี่ย อยู่ที่ 95.62 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 99.47 บาทต่อหุ้น และคาดว่า EPS Growth ของปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 12.32%

     ส่วนดัชนีหุ้นไทยปี 2567 คาดลงไปทำจุดต่ำสุด ที่ 1,340 จุด และขึ้นไปแตะสูงสุด ที่ 1,612 จุด สิ้นปี 67 มีโอกาสทดสอบ 1,590 จุด จากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนฟื้นตัวดี และฟันด์โฟลว์จากต่างประเทศไหลเข้ามาหุ้นไทยเพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยลบ คือ การลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก , ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ เช่น สงคราม เป็นต้น

    "ฟันด์โฟลว์ ปีที่ผ่านมาไหลออกใกล้ 1.9 แสนล้านบาท ซึ่งปี 65 ซื้อเข้ามา 2 แสนล้านถือว่าขายออกมาเกือบหมด ข้อดีคือไม่เคยขายออกขนาดนี้เพราะก้อนเข้ามาในปี65ไปหมดแล้ว และฝั่งเราแข็งแรงขึ้น หวังว่ารัฐบาลเศรษฐาจะเดินเรื่องเศรษฐกิจและการค้าได้ดีต่อเนื่อง หวังว่าจากนี้ทิศทางการค้าอาจจะเริ่มได้เห็นและถ้ามาได้จริงน่าจะเริ่มได้เห็นอะไรชัดขึ้น เป็นอีกตัวแปรที่จะทำให้การลงทุนบ้านเราดูดีขึ้น หลายปีที่ผ่านมาจีดีพีอาจไม่ดีเพราะมีตัวแปรหลายเรื่อง แต่ปีนี้ตัวแปรต่างๆน่าจะดีขึ้น หวังว่าจีดีพีน่าจะฟื้น ตลาดหุ้นบ้านเราน่าจะดี"

     ทั้งนี้นักวิเคราะห์แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น เงินสดและเงินฝากระยะสั้น ราว 8.96% , กองทุนตราสารหนี้ 25.63% , หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 23.67% , หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 22.79% , กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 9.17% , ทองคำหรือกองทุนทองคำ 8.75% , สินทรัพย์อื่นๆ เช่น Bitcoin ,น้ำมัน 1.03%

     ส่วนการลงทุนต่างประเทศนั้น แนะนำให้ลงทุนกองทุนหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และ Selective Asia เช่น เกาหลี และเวียดนาม ขณะที่การลงทุนหุ้นไทย แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจค้าปลีก , อาหาร , เงินทุนหลักทรัพย์ และการท่องเที่ยว ขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจก่อสร้าง , อสังหาริมทรัพย์ที่มีหนี้สูง และธุรกิจประกัน

เห็นพ้องเชียร์ 4 หุ้น

     หุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 5 สำนักขึ้นไป คือ 1. AOT มองว่าได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวดีขึ้น โดยในปี 2567 คาดนักท่องเที่ยว 34.5-35 ล้านคน จากปี 2566 ที่ 27-28 ล้านคน คาดว่าจะเห็นมาตรการรัฐสนับสนุนเพิ่มเติมและนอกจากผลประกอบการจะฟื้นตัวตามการท่องเที่ยว ยังอยู่ระหว่างศึกษาการปรับขึ้นค่า PSC และการเก็บค่า Transit/Transfer รวมถึงการรอรับโอน 3 สนามบินจากกรมท่าอากาศยาน

     2. CPALL ได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยว High Season และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล Easy E-Receipt ตลอดจนการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ รวมถึง Digital wallet ในปี 2567 ช่วยหนุนการจับจ่ายใช้สอย

     3. CPN ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลและภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่องเช่นกัน ทั้งยังมีแผนการเปิดโครงการใหม่ในระยะยาว มองเป็นหุ้นที่น่าจะเป็นเป้าของกองทุน ThaiESG

     4. GPSC ปัจจัยสนับสนุนจาก Bond Yield ที่ปรับตัวลง และคาดกำไรปี 2567 โต 31% ฟื้นตัวตามค่าไฟที่คาดทยอยปรับขึ้น ขณะที่ต้นทุนก๊าซมีแนวโน้มค่อยๆ ลดลง

     ส่วนหุ้นที่ควรเลี่ยง ได้แก่ หุ้น DELTA เพราะเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก และหุ้นรายตัวที่มีภาระกู้ยืมสูงหรือเพิ่มทุน

     อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ฝากถึงรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจมีความคุ้มค่ากับผลกระทบทางงบประมาณโดยส่วนใหญ่กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาวแยกเป็นการลงทุนภาครัฐที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ถัดมาคือด้านการช่วยเหลือภาคประชน ได้แก่ มาตรการลดค่าครองชีพ

      ส่วนนโยบายแจกเงินนั้น อยากให้เปลี่ยนเป็นโครงการกระตุ้นการบริโภค (คล้ายคนละครึ่ง) หรือ นโยบายช้อปช่วยชาติ และตามมาด้วยเสนอนโยบายด้านการช่วยเหลือภาคธุรกิจได้แก่ นโยบายกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศเร่งแผนยกระดับศักยภาพการผลิตไทย ส่งเสริม FDI ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ รวมถึงกระตุ้นการลงทุนเอกชนในประเทศเกี่ยวกับ New technology และ ESG

 

หุ้นสดใส - ครึ่งหลังโดดเด่น

     นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวเช่นกันว่า ภาพตลาดหุ้นในไตรมาส 1 โดยปกติจะค่อนข้างสดใส เนื่องด้วยเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนกลับเข้าเพิ่มขึ้นหลังหยุดเทรดในช่วงเทศกาล อีกทั้งในไตรมาสแรกเป็นช่วงการประกาศผลการดำเนินงานและการจ่ายเงินปันผลซึ่งมักจะทำให้ตลาดหุ้นไทยค่อนข้าง Outperform 

     ส่วนฟันด์โฟลว์ต่างชาติในปีนี้ คาดว่ามีโอกาสเห็นเม็ดเงินไหลกลับในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากคาดว่าเม็ดเงินงบประมาณปี 67 จะเริ่มเข้ามาในช่วงเดือนพ.ค.67 ซึ่งจะหนุนการลงทุนของภาครัฐและการลงทุนของภาคเอกชนให้ตามมา ประกอบกับคาดว่าจะเริ่มเห็นทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯที่มีความชัดเจนมากขึ้น

     "ฟันด์โฟลว์จะเข้ามาหรือไม่ค่อนข้างคาดการณ์ได้ยาก แต่ดูจากบริบทต่างๆคาดครึ่งปีหลังจะมีโอกาสเห็นได้มากกว่า เพราะงบปี 67 จะบังคับใช้ในเดือน เม.ย.นี้ เม็ดเงินน่าจะเข้ามาโครงการต่างๆจะเข้ามา เศรษฐกิจจะเริ่มเห็นชัด ต่างชาติก็จะเริ่มเข้ามา และน่าจะเห็นทิศทางดอกเบี้ยของเฟดที่ชัดขึ้น" 

     นอกจากนี้ เม็ดเงินกองทุนรวม TESG คาดว่ามีโอกาสมากกว่า 10,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามีเม็ดเงินไหลเข้ากว่า 6,000 ล้านบาท เนื่องจากมีเงื่อนไขดีกว่ากองทุนรวม SSF ที่ถือครองถึง 10 ปี แต่ TESG ถือครองเพียง 8 ปี