posttoday

SAFE จ่อร่วมทุน รพ.ต่างชาติ เปิดคลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก หนุนผลงานปี 67 แกร่ง

06 พฤศจิกายน 2566

SAFE เล็งร่วมทุน รพ.ต่างชาติ เปิดคลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก หนุนผลงานปี 67 โตแกร่ง เร่งขยาย 2 สาขา ในไทย ดันรายได้ปีนี้โต 20-30% ย้ำกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เดิม Lock up ทั้งหมด เกินกว่าเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่วันแรกที่เข้าเทรด มุ่งเติบโตตามแผน

นพ.วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SAFE เปิดเผยว่า ภายหลังนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ทำให้บริษัทมีศักยภาพและความพร้อมด้านฐานทุน รุกเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในการให้บริการคลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก เพื่อก้าวขึ้นสู่ผู้นำด้านรักษาผู้มีบุตรยาก ด้านวินิจฉัยพันธุกรรมตัวอ่อนและเวลเนสในภูมิภาคเอเชีย 

โดยมีเงินสดพร้อมสำหรับขยายการลงทุน ณ สิ้นวันที่ 30 มิ.ย.2566 สูงถึง 800 ล้านบาท ประกอบกับเงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้กว่า 500 ล้านบาท เพื่อย้ายที่ตั้งสาขารามอินทราไปพื้นที่ใหม่ในโครงการสนามไดร์ฟกอล์ฟ กอล์ฟ ชาแนล เซ็นเตอร์ ถนนรามอินทรา บนพื้นที่กว่า 600 ตร.ม. เพื่อให้บริการแบบครบวงจรมากยิ่งขึ้น เช่น มีห้องปฏิบัติการด้านพันธุศาสตร์สำหรับนักวิทยาศาสตร์ของกลุ่มที่ทันสมัยและกว้างขวาง ซึ่งคาดว่าจะเสริมสร้างศักยภาพการเติบโตของสาขารามอินทราจาก OPU Cycles ที่เพิ่มขึ้นตามมา

นอกจากนี้ เตรียมเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 2 แห่ง เฉลี่ยลงทุนสาขาละ 100-120 ล้านบาทต่อแห่ง และอยู่ระหว่างเจรจาร่วมทุน (Joint Venture) กับโรงพยาบาลในต่างประเทศ เพื่อเปิดคลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก รวมถึงอยู่ระหว่างเจรจาร่วมลงทุนในธุรกิจที่ต่อยอดจากธุรกิจเดิมในส่วนของธุรกิจเสริมความงาม โดยบริษัทคาดว่าจะสร้าง Synergy และเพิ่มการเติบโตได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต ซึ่งจะเริ่มเห็นตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป

สำหรับแผนงานขยายการลงทุนดังกล่าว เพื่อรองรับตลาดการบริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยากที่มีศักยภาพในการเติบโตที่ดีในช่วงระยะ 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากการฟื้นตัวของสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ประกอบกับการที่ภาครัฐของประเทศไทยและในหลายๆ ประเทศมีแนวโน้มออกนโยบายส่งเสริมการมีบุตรเพื่อแก้ปัญหาอัตราการเกิดใหม่ที่ลดลง 

โดยคาดการณ์ว่าตลาดรักษาผู้มีบุตรยากทั่วโลกโลกในปี 2570 จะมีมูลค่า 90,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และเพิ่มขึ้นเป็น 119,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2575 โดยประเทศไทยคาดว่าตลาดรักษาผู้มีบุตรยากจะมีมูลค่า 60,000 ล้านบาท ในปี 2570 เติบโตเฉลี่ย 14.6% ต่อปี จากปัจจัยต่างๆ เช่น การตั้งครรภ์ล่าช้าจากวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีที่ใช้รักษาเพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ดีขึ้น เป็นต้น รวมทั้งรัฐบาลส่งเสริมยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต

ทั้งนี้ SAFE มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง มีเงินสดสภาพคล่องสูงและไม่มีเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน อีกทั้งเป็นบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตทางธุรกิจสูง ด้วยจุดเด่นทั้งรูปแบบทางธุรกิจของกลุ่มบริษัทที่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันที่จะผลักดันให้กลุ่มบริษัทเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยรูปแบบการให้บริการแบบ Integrated Full Service สำหรับคลินิกการแพทย์เฉพาะทางเพื่อการมีบุตรที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการให้บริการด้านการเจริญพันธุ์ในระดับสากล 

รวมทั้งการมีสาขาครอบคลุมจังหวัดหัวเมืองหลักถึง 5 สาขา มีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่ดีกับโรงพยาบาล คลินิกสูตินรีเวช ศูนย์การแพทย์เพื่อการมีบุตร ฯลฯ และเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในการรักษาผู้มีบุตรยากแก่ชาวต่างชาติ เช่น เวียดนาม อินเดีย สิงคโปร์ จีน เมียนมา ญี่ปุ่น โดยมีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์สูงถึง 75%

นพ.วิวัฒน์ กล่าวว่า SAFE มุ่งเน้นสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน โดยกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมตระกูลกว้างคณานุรักษ์ ยังคงถือหุ้นรวมกัน 60.92% และกลุ่มนอร์ท ฮาเว่น ไทย ไพรเวท อิควิตี้ แซทเทิร์น คอมแพนี (ฮ่องกง) ลิมิเต็ด (NHTPES) ถือหุ้น 12.50% 

โดยเข้าทำสัญญา Lockup หุ้น 100% ซึ่งมากกว่าเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นเวลา 180 วัน ตามเงื่อนไขของสัญญาฯ นับตั้งแต่วันแรกที่หุ้นเข้าเทรด เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนว่า หุ้น SAFE มีเสถียรภาพการเติบโตที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ ยังมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ตามงบการเงินรวมของบริษัทหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีกับนักลงทุนอีกด้วย

ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566 คาดรายได้จะเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก และตั้งเป้าหมายปี 2566 รายได้เติบโตประมาณ 20-30% เป็นผลมาจากเทรนด์อุตสาหกรรมของตลาดผู้มีบุตรยากที่กำลังเติบโตอยู่ในปัจจุบัน โดยในงวด 6 เดือนแรกปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 409.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 87.4 ล้านบาท