posttoday

จัดตั้งรัฐบาลช้า-จ่อเก็บภาษีขายหุ้น ฉุดดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน ต.ค. ทรงตัว

10 สิงหาคม 2566

FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า (ต.ค.66) ปรับขึ้น 2.2% อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” หลังความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล-เล็งเก็บภาษีขายหุ้นฉุด หวังจัดตั้งรัฐบาล-ท่องเที่ยวฟื้นตัวหนุน

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนกรกฎาคม 2566 พบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ตุลาคม 2566) อยู่ที่ระดับ 83.45 ปรับขึ้นเล็กน้อย 2.2% จากเดือนก่อนหน้า อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” 

โดยความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล ปรับเพิ่ม 42.7% อยู่ที่ระดับ 93.94 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ปรับเพิ่ม 125.0% อยู่ที่ระดับ 112.5 และกลุ่มนักลงทุนสถาบัน ปรับเพิ่ม 16.7% อยู่ที่ระดับ 100.00 อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” ในขณะที่ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ปรับลดลง 33.3% อยู่ที่ระดับ 66.67 อยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา”

ทั้งนี้ นักลงทุนมองว่าการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมา คือ การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว และการไหลเข้าของเงินทุน 

สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล รองลงมา คือ การประกาศจะจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ (Financial Transaction Tax: FTT) และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ

ขณะเดียวกัน หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM) ส่วนหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร (BANK)

จัดตั้งรัฐบาลช้า-จ่อเก็บภาษีขายหุ้น ฉุดดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน ต.ค. ทรงตัว

SET Index ผันผวนตลอดเดือนกรกฎาคม 2566 จากปัญหาเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่ไม่มีความชัดเจนและยังไม่สามารถเสนอชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ อีกทั้งแรงขายสุทธิต่อเนื่องของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ และประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2566 ถูกปรับลดลงจาก 3.6% ของ GDP ที่คาดการณ์ไว้ในเดือนเมษายน มาอยู่ที่เฉลี่ย 3.5% สาเหตุจากการคาดการณ์รายได้นักท่องเที่ยวลดลง รวมทั้งการส่งออกชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ของปีนี้ 

โดย SET Index ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2566  ปิดที่ 1,556.06 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.5% จากเดือนก่อนหน้า ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือนกรกฎาคม 2566 อยู่ที่ 46,002 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิกว่า 12,558 ล้านบาท ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ของปีนี้ โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวมกว่า 118,181 ล้านบาท

ทางด้านปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ นโยบายการเงินของ FED ที่คาดว่าจะยังไม่ลดดอกเบี้ยในเร็ววันนี้ เนื่องจากโอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ อาจทำให้เงินเฟ้อปรับตัวขึ้นสูงอีกครั้ง รวมถึงภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ซึ่งอาจกระทบภาคการส่งออกและท่องเที่ยวของไทย

ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การเลือกนายกรัฐมนตรีและการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งหากล่าช้าจะกระทบต่อเศรษฐกิจและงบประมาณปี 2567 ความขัดแย้งทางการเมืองหลังการเลือกตั้งที่อาจนำไปสู่การก่อความไม่สงบ การชะลอตัวของภาคการส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบจากแนวโน้มการแข็งค่าของค่าเงินบาท และจากการที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ายังคงซบเซาจากแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงสถานการณ์ภาคท่องเที่ยวในประเทศที่อาจไม่โตเท่าที่คาดการณ์ไว้