เปิดโผหุ้นกลุ่มทุนการเมืองกลับมาผงาด รับ “ภูมิใจไทย” ร่วมจัดตั้งรัฐบาล
กลับมาผงาด! เปิดรายชื่อหุ้นกลุ่มทุนการเมืองได้ประโยชน์ หลัง “ภูมิใจไทย” เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล โบรกฯ แนะ “ระวัง” ดูปัจจัยพื้นฐานร่วมด้วย แบ่งพอร์ตเล่นสั้น-ยาว
หลังจากเมื่อวันที่ 2 ส.ค.2566 พรรคเพื่อไทยได้มีการแถลงการณ์ยกเลิก MOU 8 พรรคเดิม และยกเลิก MOU 2 ฉบับ กับ พรรคก้าวไกล โดยพรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะไม่มีพรรคก้าวไกลเข้าร่วม
จากนั้นวันที่ 7 ส.ค.2566 พรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้ร่วมแถลงจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับ พรรคภูมิใจไทย ด้วยคะแนนเสียงตั้งต้น 212 เสียง
ล่าสุด วันนี้ (9 ส.ค.) พรรคเพื่อไทย ร่วมกับแกนนำจาก 6 พรรค ประกอบด้วย พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อไทรวมพลัง พรรคพลังสังคมใหม่ พรรคท้องที่ไทย พรรคชาติพัฒนากล้า แถลงความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาล โดยขณะนี้มีเสียงสนับสนุนจัดตั้งรัฐบาลแล้ว 228 เสียง
อย่างไรก็ตาม “โพสต์ทูเดย์” จะพามาดูหุ้นกลุ่มทุนการเมืองที่ได้ประโยชน์จากการที่มี “พรรคภูมิใจไทย” เข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาล ในมุมมองของนักวิเคราะห์จาก 3 บริษัทหลักทรัพย์ ได้แก่ บล.บียอนด์ บล.เอเซีย พลัส และ บล.กสิกรไทย
นายสุวัฒน์ สินสาฎก รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจหลักทรัพย์ ลูกค้าสถาบัน บล.บียอนด์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่พรรคภูมิใจไทย เข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย มองว่าหุ้นที่จะได้รับประโยชน์และฟื้นตัวกลับมาได้จากกรณีดังกล่าว ประกอบด้วย
หุ้นกัญชง กัญชา ได้แก่ บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL
หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ได้แก่ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF และ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA
กลุ่มพาณิชย์ ได้แก่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC และ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN
รวมไปถึง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ที่คาดว่าพรรคภูมิใจไทยมีโอกาสได้เป็นเจ้ากระทรวงคมนาคม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง และสนามบิน หากได้เป็นเจ้ากระทรวงดังกล่าว น่าจะมีมาตรการเด็ดเข้ามาสนับสนุน
นอกเหนือจาก บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC และ บริษัท เอสทีพี แอนด์ ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ STPI ซึ่งราคาหุ้นได้มีปรับตัวขึ้นไปแล้ว
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า การจัดตั้งรัฐบาลหากเป็นผลสำเร็จจริง ก็จะช่วยลดความกังวลเรื่องสุญญากาศทางการเมือง และน่าจะทำให้ SET Index น่าจะตอบสนองเชิงบวก
ส่วนประเด็นการเก็งกำไร ก็อาจเกิดขึ้นกับหุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์จากแนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายของพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ (นโยบายหลักๆ ของพรรคร่วมรัฐบาล อาทิ เติมเงินกระเป๋าดิจิทัล 10,000 บาท, ค่าแรง 600 บาท/ เงินเดือน ป.ตรี 25,000 บาท, รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย, เปิดศูนย์ฟอกไตเทียมทุกอำเภอ, พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น-หยุดดอก)
ดังนั้น หุ้นที่เคยร่วงแรงจากความกังวลเปลี่ยนผ่านทางการเมืองก่อนหน้านี้มีโอกาสดีดตัวขึ้นมาได้ แนะนำหุ้นเด่น 5 กลุ่ม คือ
(1) หุ้นต้นทุนค่าแรง รายได้อิงโครงการภาครัฐ STEC, CK
(2) หุ้นหวังพึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม MTC CBG, JMT, SAWAD, SNNP
(3) หุ้นทุนผูกขาด TRUE, CRC, CPN, CPALL, BJC
(4) หุ้นได้รับผลกระทบปรับสูตรค่าไฟฟ้า GULF, BGRIM, GPSC, PTTGC
(5) หุ้นรับกระแสข่าวดังกล่าว SIRI, SC, ADVANC, PR9, SCB
อย่างไรก็ตาม ต้องรอดูผลในทางปฎิบัติว่าจะผ่านกระบวนการต่างๆและราบรื่นอย่างที่คาดการณ์หรือไม่ เฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนบทบาทของ วุฒิสภาและไกลไปกว่านั้น ต้องดูท่าทีการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ที่อาจมีการชุมนุมทางการเมืองเกิดขึ้นได้
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย กล่าวว่า กลุ่มหุ้นที่จะได้รับประโยชน์ก็จะมาจากนโยบายของพรรคที่จะมากระตุ้นเศรษฐกิจ โดยประเมินว่า ทุก 1% ของการกระตุ้น GDP คือ ถ้า GDP ปรับขึ้น 1% กำไรกลุ่มแบงก์ ปรับขึ้น 6% กลุ่มไฟแนนซ์ ปรับขึ้น 5.7% กลุ่มบริหารสินทรัพย์ กลุ่มพาณิชย์ กลุ่มไอซีที ปรับขึ้น 3-6%
อย่างไรก็ตาม ควรมีการแบ่งพอร์ต โดยพอร์ตระยะสั้น หากเล่นหุ้นอิงกลุ่มการเมือง โดยไม่สนใจปัจจัยพื้นฐาน ปัจจัยต่างประเทศ หรือปัจัยอื่นๆ ต้องมีความระมัดระวัง
ทั้งนี้ กลุ่มที่ยังสามารถลงทุนได้ระยะยาวจนถึงสิ้นปีนี้ คือ กลุ่ม Global Play เนื่องจากเริ่มมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะไม่เกิดภาวะถดถอยในปีนี้ ทำให้กลุ่มโรงกลั่น และกลุ่มพลังงานต้นน้ำ ยังเป็นทางเลือกที่ดี
ส่วนกลุ่ม Domestic Play คือ กลุ่มแบงก์ หลังผลประกอบการไตรมาส 1 และ ไตรมาส 2/2566 ดีกว่าคาด และคาดว่าไตรมาส 3 และไตรมาส 4/2566 ก็จะดีกว่าคาด จาก NIM ที่ดีขึ้น และแบงก์ใหญ่มีการตั้งสำรองไปหมดแล้ว ดังนั้นในครึ่งปีหลังไม่ต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้น และกลุ่มไอซีที เริ่มเห็นสัญญาณการแข่งขันจาก 3 ราย เหลือ 2 ราย ทำให้ ARPU ของทั้ง 2 ราย เริ่มยืนไม่ปรับตัวลง และในอนาคตจะดีขึ้น ส่งผลให้ EBITDA เพิ่มขึ้น


