posttoday

ทียูจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.30 บาท/หุ้น กางยอดขายไตรมาส 2 แตะ 3.4 หมื่นล้านบาท

07 สิงหาคม 2566

ทียูจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.30 บาท/หุ้น พร้อมกางตัวเลขยอดขายไตรมาส 2 แตะ 3.4 หมื่นล้านบาท เผยกระแสเงินสดแกร่งที่ 3.3 พันล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงานบวก 8.2%

รายงานข่าวจากบมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ระบุว่า ทียูจ่ายปันผลระหว่างกาลที่ 0.30 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 4 กันยายน 2566  เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 21 สิงหาคม 2566 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 22 สิงหาคม 2566

ทังนี้ ทียูมียอดขายไตรมาส 2 ปี 2566 ที่ 34,057 ล้านบาท ลดลง 12.6 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับยอดขายที่แข็งแกร่งในปีก่อนหน้า เนื่องจากคู่ค้าทั่วโลกยังมีปริมาณสินค้าคงคลังที่ในระดับสูง รวมถึงการขนส่งสินค้าปรับตัวสู่สภาวะปกติ ส่งผลให้ความต้องการสินค้าชะลอตัวลง กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,029 ล้านบาท ลดลง 36.7 เปอร์เซ็นต์ สาเหตุหลักจากการขาดทุนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและส่วนแบ่งกำไรสุทธิจากไอ-เทลคอร์ปอเรชั่นลดลงเป็นผลจากสัดส่วนหุ้นที่ไทยยูเนี่ยนถือครองลดลง

นอกจากนี้ผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ยังมีกำไรจากการดำเนินงานที่ 1,777 ล้านบาท สูงขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.2 เปอร์เซ็นต์ พร้อมสามารถรักษาระดับกระแสเงินสดได้อย่างแข็งแกร่งที่ 3,319 ล้านบาท จากกลยุทธ์ในการบริหารเงินทุนหมุนเวียนสุทธิที่ดีขึ้น โดยทียูบันทึกอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 16.9 เปอร์เซ็นต์ คงที่เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แม้ว่าราคาวัตถุดิบจะมีการปรับตัวสูงขึ้น 

ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 ของบมจ.  ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวในหลายๆ ตลาดทั่วโลกในครึ่งหลังของปี 2566 และถึงแม้ว่าบริษัทหลาย ๆ ตลาดทั่วโลกในครึ่งหลังของปี 2566 และถึงแม้ว่าบริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ มากมายในช่วงครึ่งปีแรก แต่งบดุลของไทยยูเนี่ยนยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง ด้วยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของบริษัทอยู่ที่ระดับ 0.64 เท่าในไตรมาส 2 ต่ำกว่าเป้าหมายที่เราตั้งไว้ที่ 1.0 เท่า ส่งผลให้เราสามารถจ่ายปันผลได้ คิดเป็นอัตราจ่ายการปันผลสูงถึง 70.3 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิ

สัดส่วนยอดขายแบ่งตามกลุ่มธุรกิจในช่วงครึ่งแรกของปี 2566

อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 2 ของทุกปี ยอดขายจะสูงขึ้นเป็นปกติ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่ยอดขายในยุโรปเติบโตได้ดี มีกิจกรรมส่งเสริมการขายต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ยอดขายประจำไตรมาส 2 สูงขึ้น 4.3 เปอร์เซ็นต์ และกำไรสุทธิสูงขึ้น 0.7 เปอร์เซ็นต์เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่บริษัทได้คาดการณ์ว่าเป็นไตรมาสที่อ่อนตัวที่สุด รวมถึงกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น 16.9 เปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 5,748 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋องอยู่ที่ 17,136 ล้านบาท เติบโตขึ้น 1.3 เปอร์เซ็นต์ นับเป็นยอดขายประจำไตรมาสที่สูงที่สุดในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ผลมาจากราคาขายที่สูงขึ้นและกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ โดยเฉพาะในทวีปยุโรป สินค้าแบรนด์ต่างๆ ภายใต้บริษัทยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคในเรื่องสุขภาพอย่างต่อเนื่อง

สัดส่วนยอดขายของไทยยูเนี่ยนในครึ่งแรกของปี 2566 แบ่งตามภูมิภาคต่าง ๆ

ด้านเรด ล็อบสเตอร์ ธุรกิจร้านอาหารทะเลระดับโลกที่ไทยยูเนี่ยนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทำผลงานได้ดีขึ้นในไตรมาส 2 หลังจากที่แผนพลิกฟื้นธุรกิจได้ส่งสัญญาณบวก โดยมีส่วนแบ่งขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 94 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 2 ของปี 2565 ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ 281 ล้านบาท

“ในช่วงครึ่งปีหลัง ไทยยูเนี่ยนจะเดินหน้าแผนและมาตรการต่าง ๆ เพื่อเพิ่มระดับความสามารถในการทำกำไร โดยมุ่งบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการดำเนินงาน พร้อมลดต้นทุนในการผลิต โดยยังเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถทำผลงานได้ดีในระยะยาว และเมื่อเร็ว ๆ นี้บริษัทได้ประกาศกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange 2030 ที่ตั้งเป้าหมายยาวไปถึงปี 2573 เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลก โดยเรามีการจัดสรรงบประมาณ 7,200 ล้านบาท เพื่อพลิกโฉมอุตสาหกรรมอาหารทะเลเพื่อผู้คนและโลกของเราอีกด้วย”