posttoday

ดักทาง 6 หุ้นน่าสะสมลุ้น Window Dressing

14 มิถุนายน 2566

โบรกสแกนช่วงครึ่งหลังเดือนมิถุนายน ลุ้นเกิด Window Dressing แรงซื้อจ่อไหลเข้าหุ้นใหญ่ SET50 ดักทางสะสม 6 หุ้นใหญ่เข้าตากองทุน ชู GULF-SCC-SCGP อัพไซด์เปิด สตอรี่ชัด

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ปกติในช่วงก่อนกลางปี หรือก่อนสิ้นปี มักจะมีโอกาสเห็นการทำ Window Dressing ของนักลงทุนสถาบันเกิดขึ้นได้และในช่วงครึ่งหลังเดือน มิ.ย.66 ฝ่ายวิจัยคาดว่ามีโอกาสเห็นการทำ Window Dressing จากสถาบันฯสูง เนื่องจากฝ่ายวิจัยทำการศึกษาสถานะการถือครองเงินสดในกลุ่มตัวอย่างกองทุนหุ้นไทย 50 กองทุนรวมกัน ณ สิ้นเดือน เม.ย.66 พบว่า มีสถานะการถือครองเงินสดที่สูงถึง 6.9% ของ NAV รวม ซึ่งสูงกว่าระดับปกติที่ 2-3%
ดักทาง 6 หุ้นน่าสะสมลุ้น Window Dressing

ทั้งสถานะเงินสดของกองทุนที่สูงกว่าปกติ รวมถึงใกล้เข้าสู่ช่วง Window Dressing ในช่วงครึ่งหลังของเดือน มิ.ย. ซึ่งฝ่ายวิจัยค้นหาหุ้นที่มีโอกาสถูกทำ Window Dressing สูง ด้วยเงื่อนไขต่างๆดังนี้

1. เป็นหุ้นขนาดใหญ่ อยู่ในดัชนี SET50

2. เป็นหุ้นที่มักจะให้ผลตอบแทนชนะตลาดในช่วง ครึ่งหลังของเดือน มิ.ย.ย้อนหลัง 5 ปี ผลตอบแทนที่ชนะ SET หรือ Alpha >0

3. ราคาหุ้นย่อตัว โดย Return YTD < 0

ซึ่งได้ผลลัพธ์ คือ หุ้น SCGP, GPSC, SCC, CBG, GULF, TU, BGRIM, TOP, CPF,AOT, LH 

ยกตัวอย่าง SCGP เป็นหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 และปีนี้ย่อตัวลงมาแล้ว -32% อีกทั้งในอดีตย้อนหลัง 5 ปี ช่วงครึ่งหลังของเดือน มิ.ย. มักปรับตัวขึ้นได้เฉลี่ย 6% และให้Alpha หรือ ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ชนะ SET ถึง 8.3% รายละเอียดหุ้นตัวอื่นๆ ดังตารางด้านล่าง
ดักทาง 6 หุ้นน่าสะสมลุ้น Window Dressing

GULF-SCC-SCGP เด่น

หุ้นเด่น Window Dressing แนะนำ 1.หุ้น GULF ราคาเหมาะสม 63 บาทปัจจุบันมีกำลังการผลิตในมือทั้งหมดราว 1 หมื่น MWe เป็นโครงการที่ COD แล้ว 6.1 พันMWe และเหลือ backlog ในมืออีกราว 4 พัน MWe ที่จะทยอย COD ต่อเนื่องจนถึงปี 2576 นอกจากนี้ยังมี upside ส่วนเพิ่มจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศที่อยู่ระหว่างพัฒนา

โดยมีการเปิดเผยความคืบหน้าของโครงการที่สำคัญดังนี้สำหรับรายละเอียดในเบื้องต้นของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่รัฐบาลไทยเปิดประมูลรอบแรก 5.2 พันเมกะวัตต์ GULF เป็นผู้ชนะประมูลโครงการโรงไฟฟ้า solar ติดตั้งบนพื้นดิน, โรงไฟฟ้า solar + battery, และโรงไฟฟ้าพลังงานลม รวมกันราว 1.7 พันMWe ซึ่งคาดจะเริ่มเซ็นสัญญา PPA ได้ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า และเริ่มทยอย CODตั้งแต่ปี 2567-2573 โดยคาดจะใช้เงินลงทุนที่ราว 1 แสนล้านบาท สัดส่วน D/E โครงการฯที่ 70/30
 
และโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในประเทศลาว ปัจจุบัน GULF อยู่ระหว่างก่อสร้างและพัฒนาทั้งหมด 3 โครงการ ประกอบด้วย 1) โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ Pak-lay 770MW (กำลังการผลิตตามสัดส่วนถือหุ้น 40% ที่ 308 MWe) ได้เซ็นสัญญา PPA เรียบร้อยแล้วเมื่อเดือน มี.ค. 2566 ปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาและคาดจะเริ่ม COD ในเดือน มี.ค. 2575

2) โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ Pak-Beng 912MW (ยังไม่มีรายละเอียดสัดส่วนการลงทุน)ปัจจุบันยังอยู่ระหว่ารอเซ็นสัญญา PPA ซึ่งคาดจะแล้วเสร็จใน 3Q66 และเริ่ม COD ในเดือน ม.ค. 2576

3) โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ Luang Prabang 1,460 MW (กำลังการผลิตตามสัดส่วนถือหุ้น20% ที่ 291.9 MWe) GULF ได้เข้าลงทุนซื้อหุ้นแล้วเสร็จเมื่อเดือน พ.ค. 2566 ซึ่งโครงการดังกล่าวเซ็นสัญญา PPA เรียบร้อยแล้วเมื่อเดือน พ.ย. 2565 ปัจจุบันอยู่ระหว่างพัฒนาและคาดจะเริ่ม COD ในเดือน มี.ค. 2573 ทั้งนี้ ในส่วนของเงินลงทุนโครงการ และรายละเอียดอื่นๆจะมีการเปิดเผยต่อไป

ครึ่งหลังธุรกิจฟื้น

2.หุ้น SCC ราคาเหมาะสม 370 บาท แนวโน้มกำไรปกติในงวด 2Q66 เชื่อว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวด 1Q66 เกิดจากปริมาณการขายเม็ดพลาสติก Polyolefin เพิ่มขึ้นใกล้ระดับปกติ 5 แสนตัน/ไตรมาสอีกครั้งจากการเดินเครื่องโรงงานระยองโอเลฟินส์เต็มไตรมาส

ส่วน Spread ผลิตภัณฑ์หลักทั้ง HDPE,PP เทียบกับ Naphtha เชื่อว่ายังไม่เห็นการฟื้นตัวมากนัก จากหลายปัจจัยที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การควบคุมSupply การผลิตน้ำมันจากกลุ่มโอเปกที่ส่งผลต่อต้นทุน Naphtha และกำลังการผลิตใหม่ของโรงงาน Olefin ในภูมิภาคที่ทยอยเข้ามา 

ภาพธุรกิจปิโตรเคมีครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก บนสมมุติฐานว่าการเปิดประเทศของจีนซึ่งเป็นประเทศที่มีการบริโภคผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี 40% ของทั้งโลก จะสร้าง Impact เชิงบวกในแง่ Demand มากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งกำลังการผลิตใหม่เริ่มมีออกมาน้อยลง โดยธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะผ่านพ้นวัฏจักรขาลงในปี 2567 เนื่องจากการประกาศก่อสร้างโรงงานโอเลฟินส์ใหม่ของโลกที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงระหว่างปี 2563-2565 ที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

บวกกับสภาพเศรษฐกิจโลกที่ตกต่ำ ส่งผลให้ภาพ Demand-Supply ของธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์จะกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลอีกครั้งในปี 2567 ซึ่งคาดหมายว่าอัตราการใช้กำลังการของโรงงานโอเลฟินส์ทั่วโลกจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป และทำให้ SCC ได้รับผลบวกอย่างเต็มที่จากกำลังการผลิตใหม่ (Upstream 1.35 ล้านตัน Downstream 1.4ล้านตัน) ของ Longson Petrochemical Complex (LSP) ในประเทศเวียดนามที่มีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 2/66

กำไรผ่านจุดต่ำสุด-ดีล M&P

และ 3.หุ้น SCGP ราคาเหมาะสม 56 บาท ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าผลประกอบการจะค่อยๆดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีตามเศรษฐกิจโลกที่ทยอยฟื้นตัว ส่งผลให้ความต้องการใช้สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภคประจำวันมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งเป็นฐานรายได้หลักของ SCGP จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้น ในส่วนของราคาขาย คาดว่าจะมีเสถียรภาพดีกว่างวด 1Q66 สนับสนุนด้วย Demand ที่เติบโต รองรับการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของโรงงานผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์รายใหญ่

ด้านต้นทุนวัตถุดิบ คาดจะมีแนวโน้มทรงตัวทำให้วัตถุดิบต้นทุนสูงในสต็อกของ SCGP ไม่ว่าจะเป็นเศษกระดาษและถ่านหิน จะถูกแทนที่ด้วยวัตถุดิบ Lot ใหม่ที่มีต้นทุนถูกลงมาก โดยราคาเศษกระดาษนำเข้า (AOCC)เดือน เม.ย 66 ปรับตัวลดลงจากระดับ 200 USD/ton ในช่วง 3Q65 ลงมาเหลือเพียง 165 USD/ton เช่นเดียวกับราคาถ่านหิน (ICI4) ที่ปรับตัวลดลงจากระดับ 90 USD/ton ในช่วงปลายปี 2565 ลงมาอยู่ที่ระดับ 73 USD/ton ในปัจจุบัน

SCGP ยังคงตั้งงบลงทุนปี 2566 ไว้ที่ 18,000 ล้านบาท โดยครึ่งหนึ่งของงบลงทุนจะถูกใช้ในดีลประเภทการซื้อกิจการและร่วมมือเป็นพันธมิตร(M&P) เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย มุ่งเน้นในธุรกิจบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำ และกลุ่มสินค้าที่มีอัตราการเติบโตสูง เช่น กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ,bio-solution และรีไซเคิล ล่าสุด SCGP ได้แสดงเจตนาเข้าลงทุนการแสดงเจตนาเข้าลงทุนในหุ้นสามัญ สัดส่วน 70% ของ Starprint Vietnam JSC (SPV) โดยมีมูลค่ากิจการรวมไม่เกิน 1,050 พันล้านดอง หรือประมาณ 1,534 ล้านบาท

โดย SPV เป็นผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์กล่องกระดาษแข็งแบบพับได้(Offset folding carton) ที่มีชื่อเสียงในประเทศเวียดนามการลงทุนดังกล่าวจะช่วยยกระดับโซลูชันบรรจุภัณฑ์ของ SCGP ด้วยการนำเสนอบริการด้านการพิมพ์แบบ offset และสินค้ากล่องบรรจุภัณฑ์คงรูปคุณภาพสูงและขยายฐานลูกค้าในกลุ่มบริษัทข้ามชาติ (Multinational company) ในประเทศเวียดนาม โดยคาดว่าธุรกรรมดังกล่าวจะเสร็จสิ้นภายใน 3Q66

ฝ่ายวิจัยยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีที่คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องจากหลายปัจจัยลบที่ผ่อนคลายลง โดยคาดปี 2566 SCGP จะมีกำไรสุทธิ 6,627 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14%YoY และกำไรจะเพิ่มขึ้นเป็น 8,397 ล้านบาท ในปี 2567 ซึ่งเป็นระดับกำไรที่ใกล้เคียงกับปี 2564 ก่อนที่โลกจะเผชิญวิกฤติปัญหาราคาพลังงานพุ่งสูงในปี 2565