SET แกว่งในกรอบเดิมระหว่าง 1,530-1,546 จุด
SET แกว่งในกรอบเดิมระหว่าง 1,530-1,546 จุด หลังวานนี้ยังปิดเหนือ 1,530 จุด กลยุทธ์การลงทุน “Selective Buy” แนะนำ AMATA และ BCH
บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ประเมินว่า SET ยังปิดเหนือ 1,530 จุดได้ แม้เมื่อวานหลุดระหว่างวัน ทำให้แนวโน้มคาดยังแกว่งในกรอบเดิมระหว่าง 1,530-1,546 จุด เพื่อรอการ breakout กรอบใดกรอบหนึ่ง จะมีทิศทางที่ชัดขึ้น โดยกรณีขึ้นทะลุกรอบบนมีแนวต้านถัดไปที่ 1,555 จุด ส่วนกรณีหลุดกรอบล่างมีแนวรับถัดไปที่ 1,523 จุด
ทั้งนี้ มอง SET ยังเคลื่อนไหวผันผวนและแกว่งตัวในกรอบ โดยแม้การขยายเพดานหนี้ของสหรัฐจะได้ข้อสรุป ซึ่งเป็นSentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย และการประชุมนโยบายการเงินของ กนง. มองจะมีโอกาสสูงที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 25 bps ตามตลาดคาด
อย่างไรก็ตาม ประเมิน SET จะยังคงมี Upside จำกัด เนื่องจากตลาดยังคงจับตาเสถียรภาพในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของไทย สถานการณ์การระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 ในจีน และการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจในยุโรป ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ "Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
1. หุ้นที่ได้รับผลกระทบจำกัดจาก MOU 23 ข้อ ที่ 8 พรรคการเมืองร่วมลงนาม เลือก BBL KTB KBANK HMPRO GLOBAL BCH CHG SPRC STANLY AH ONEE HTC TNP
2. หุ้นที่ INVX Research มีการปรับเพิ่ม Rating และ/หรือ ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย เลือก KKP BJC OSP
3. สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ซึ่งต้องการเก็งกำไรระยะสั้นในประเด็นการเจรจาเพดานหนี้สหรัฐได้ข้อสรุปแนะนำ DELTA PTTEP BCP
ขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับหุ้นที่มีความเสี่ยงหรือปัจจัยลบกดดันราคาหุ้น ดังนี้
1) หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่
2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบอย่างมีนัย จากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาลใหม่ ได้แก่ กลุ่ม ขนส่งพัสดุ(KEX) กลุ่มอาหาร (CPF ZEN GFPT TU AU CENTEL) กลุ่มอสังหาฯ (LPN PSH SIRI QH AP) และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (HANA KCE)
3) หุ้นที่ราคาขึ้นมาสูงกว่าโควิด-19 และเราแนะนำ Underperform เลือก AAV SAWAD MST NRF
สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ AMATA ปี 2566 คาดมีรายได้อยู่ที่ 7.7 พันล้านบาท (+18% YoY) และกำไร สุทธิที่ 1.81 พันล้านบาท (-22.5% YoY) แต่หากไม่รวมกำไรจากขายโรงงานในเวียดนามในปี 2565 ที่ 1.36 พันล้านบาท จะส่งผลให้ Core Profit เติบโตเด่นถึง 85% YoY
BCH มองกำไรปกติจะดีขึ้นในครึ่งหลังของปี 2566 (+HoH) และจะเริ่มเห็นการเติบโต YoY ในไตรมาส 4/2566 ขณะที่ผลตอบแทนน่าสนใจเมื่อเทียบกับความเสี่ยง หลังราคาหุ้นปรับลงมาแล้ว 19% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา จนปัจจุบันเทรดที่ระดับ -2SD ของ PE เฉลี่ยในอดีต


