รู้ก่อนซื้อ! 3 หุ้นโรงไฟฟ้า Q2/66 กำไรแกร่ง
ผ่าเกมหุ้นโรงไฟฟ้า ปี66 สุดปัง!! GPSC-BGRIM-GULF ฐานะการเงินแกร่ง กำไรฟื้นต้นทุนลด-ค่าเอฟทีหนุนไตรมาส 2/66 กำไรพีคต่อเนื่อง
"เอกรินทร์ วงษ์ศิริ" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ทรีนีตี้ วิเคราะห์ว่า หุ้นโรงไฟฟ้าปี 66 นี้ ผลการดำเนินงานจะพลิกกลับมาสวยตามต้นทุนราคาก๊าซที่ลดลง บนสมมุติฐานค่าเอฟทีไม่ปรับลดลง เพราะหากรัฐบาลใหม่เข้ามาแล้วปรับลดค่าเอฟทีอาจจะมีผลกระทบช่วงปลายปีได้เช่นกัน ซึ่งในเบื้องต้นหากมองประเด็นการปรับลดค่าเอฟทีแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามสัดส่วนราคาก๊าซที่ลดลง กำไรก็จะสวย แต่หากปรับลดลงทันทีก็จะส่งผลกระทบในช่วงปลายปี ซึ่งก็คงต้องรอดูนโยบายรัฐบาลใหม่อีกครั้ง
โดยหุ้นโรงไฟฟ้าที่ฝ่ายวิเคราะห์โฟกัส คือ GPSC, BGRIM และ GULF โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/66 จะกลับมาเติบโตค่อนข้างดี และมองว่าในไตรมาส 2/66 จะดีขึ้นต่อเนื่อง อานิสงส์ต้นทุนก๊าซธรรมชาติลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา จาก 20 กว่าเหรียญฯต่อ MMBtu ปัจจุบันอยู่ที่ 10 กว่าเหรียญฯต่อ MMBtu ดังนั้นน่าจะสะท้อนต้นทุนก๊าซให้กับโรงไฟฟ้าพอสมควร ซึ่งในเบื้องต้นมองกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้นมา 15-20% QoQ สะท้อนต้นทุนราคาก๊าซลดลงเป็นหลัก
GULF ทุนแกร่งเกินเบอร์
"บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF" ในเรื่องของฐานะทางการเงินค่อนข้างแข็งแกร่ง ในเมืองไทยค่อนข้างที่จะทราบกันดีว่าธุุรกิจโรงไฟฟ้าค่อนข้างอิ่มตัว GULFถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่ดังนั้นหากจะได้สิทธิ์โรงไฟฟ้าใหญ่ๆ หรือ สร้างโรงไฟฟ้าใหญ่ๆมองว่าค่อนข้างยาก ซึ่งเราจะเห็นว่า GILF หันไปลงทุนธุรกิจอื่นเพิ่มขึ้น เพราะโรงไฟฟ้าถือเป็นตัวที่สร้างรายได้ให้อยู่แล้ว ก็คงต้องเอาเงินไปลงทุนอื่นๆที่สร้างมูลค่าต่อบริษัทเพิ่มมากขึ้น
หากมองในเรื่องแผนลงทุนยอมรับว่า GULF ก็มี Business plan ที่ดี แต่ระยะสั้นอาจจะโดนในเรื่องของนโยบายพลังงานในประเทศที่ยังไม่รู้ว่าจะออกมาเข้มงวดขนาดไหน อาจจะส่งต่อ sentiment เชิงลบ ต่อราคาหุ้นกลุ่มโรงๆฟฟ้าในช่วงที่ผ่านมา และ ผู้บริหาร GULF อาจจะเห็นอะไรในแผนลงทุนที่มีอยู่เลยพจารณาเข้าไปซื้อเพิ่ม
แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/66 คาดกำไรสุทธิ 4,100-4,200 ล้านบาท เติบโต 170% เทียบไตรมาส 2/65 มีกำไร 1,500 ล้านบาท เพราะโดนเรื่องราคาก๊าสค่อนข้างเยอะ แต่เพิ่มขึ้น 10-15% เมื่อเทียบไตรมาส 1/66 เพราะหากเทียบฐานปี 65 โรงไฟฟ้าปีนี้โตขึ้น 2-3 เท่าตัวเลยทีเดียว ส่วนผลงานทั้งปี 66 กำไรสุทธิ 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากปี 65 มีกำไร 11,400 ล้านบาท
BGRIM ลุยเปิดทรัพย์ตปท.
บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เห็นภาพโรงไฟฟ้าในไทยค่อนข้างอิ่มตัว เริ่มขยายไปที่เวียดนาม ซึ่งจะเห็๋นว่าในช่วงที่มีผ่านมาจะมีข่าวว่าโรงไฟฟ้าไทยหลายรายไปเทก PPA เวียดนาม ค่อนข้างเยอะ อาจจะมองเรื่องของโกรทในต่างประเทศมากกว่าในประเทศ หรืออาจจะเป็นในเรื่องของแบตเตอรี่ อย่าง GPSC , GULF ก็มีลงทุนในแบตเตอร์รี่ EV เป็นต้น
ทั้งนี้ในไตรมาส 2/66 คาดมีกำไรสุทธิ 450 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% QoQ แต่หากเทียบไตรมาส 2/65 ที่ขาดทุน 200 ล้านบาท ขณะที่ปี 66 กำไร 2,200 ล้านบาท จากปี 65 ขาดทุน 1,200 ล้านบาท ราคาเป้าหมาย 44 บาท
GPSC หุ้นดีของตระกูลPTT
ขณะที่หุ้นของ "บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC" มองว่าผลงานในไตรมาส 2/66 คาดกำไรสุทธิทำได้ 1,300-1,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% QoQ หรือเพิ่มขึ้น 90% YoY จากฐานที่ต่ำในปีที่ผ่านมา ขณะที่ในปี 66 นี้มีกำไรสุทธิ 4,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 300% จากปี 65 ทำได้เพียง 900 ล้านบาท เพราะโดนต้นทุนก๊าซกดดันค่อนข้างมาก แนะนำซื้อสะสม ให้ราคาเป้าหมาย 75 บาท
"หุ้นโรงไฟฟ้าในปีที่ผ่านมาถือว่ามีฐานที่ต่ำทุกตัว แต่ปี 66 นี้ถือว่าดีขึ้นทุกตัว ผลจากต้นทุนราคาก๊าซลดลง ดังนั้นหากราคาหุ้นโรงไฟฟ้าย่อตัวลงถือเป็นจังหวะสะสมทั้ง ได้ GPSC, BGRIM และ GULF แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรอดูนโยบายของรัฐบาลอีกครั้งว่าจะประกาศนโยบายพลังงานออกมาชัดเจนอย่างไร เพราะจะส่งผลทั้งบวกและลบในอนาคต"
จับตานโยบายพลังงาน
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุก่อนหน้านี้ว่า จากกระแสความกังวลต่อกลุ่มโรงไฟฟ้าจากนโยบายของพรรคก้าวไกลต่อการปรับลดค่าไฟฟ้านั้น มี 2 แนวทาง คือ 1) การปรับลดค่าไฟฟ้าผ่านการพยายามจัดสรรก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักของโรงไฟฟ้าประเทศไทย โดยให้สัดส่วนก๊าซธรรมชาติที่ทุกๆกลุ่มต้องใช้อยู่ภายใต้ Energy Pool เดียวกัน และให้มีต้นทุนเดียวกัน คือ เป็นราคาเฉลี่ยก๊าซจากทั้งในอ่าวไทย(สัดส่วน52%) ราคาก๊าซแหล่งอื่นๆบนบก(สัดส่วน 3%) และก๊าซฯที่นำเข้า(สัดส่วน 45% แบ่งเป็น LNG 28.8% และก๊าซฯพม่า 16.2%)และให้เปลี่ยนนโยบายการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับปิโตรเคมี โดยให้ PTTGC ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรไม่ให้ใช้ก๊าซฯในอ่าวให้ใช้แนฟทาเป็นวัตถุดิบแทนเพื่อเอาก๊าซธรรมชาติในอ่าวไปใช้ในโรงไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนเชื้อเพลิง
และ 2)การปรับค่าความพร้อมจ่าย(AP:Availability Payment)ซึ่งเป็นรายได้ส่วนหนึ่งในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ทำไว้กับกฟผ.(EGAT)สำหรับโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่IPPที่ได้รับคัดเลือกเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าผ่านการประมูลโดยพรรคก้าวไกลมองว่าปัจจุบันปริมาณสำรองไฟฟ้าเหลือค่อนข้างสูงไม่จำเป็นต้องให้โรงไฟฟ้าเดินเครื่องเต็มถึงแม้โรงไฟฟ้ามีความพร้อมจ่ายก็ตามจึงเหมือนต้องไปบิดเบือนสัญญาที่ทำไว้
ประเด็นดังกล่าวถือเป็นปัจจัยกดดันผู้ประกอบการทั้งปิโตรเคมีที่รับก๊าซฯไปเป็นวัตถุดิบ เช่น PTTGC รวมถึงการปรับราคาที่มีนำเสนอไปให้ใช้ราคาขาย LNG ให้เป็นต้นทุนกับทุกกลุ่มซึ่งจะเพิ่มต้นทุนไม่เฉพาะกลุ่มปิโตรเคมี แต่อาจกระทบไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมกลุ่มขนส่ง กลุ่มครัวเรือนที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง เพราะจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นเช่นเดียวกับผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าIPPที่นโยบายพรรคก้าวไกลมีการแตะไปที่ค่าความพร้อมจ่ายที่เป็นส่วนประกอบในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งโดยปกติแล้วการประมูลโรงไฟฟ้า IPP จะเป็นการประมูลด้วย IRR ผลตอบแทนการลงทุนตลอดอายุโครงการ โดยผู้ประกอบการมีสัญญาระบุไว้ชัดเจนรวมถึงมีข้อความที่ระบุในเชิงห้ามแก้ไขสัญญา อีกทั้งเป็นการทำตามกฎเกณฑ์การประมูลต่างๆที่ถูกต้อง
ดังนั้นการเข้ามาแทรกแซงในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฉบับเดิมไม่น่าจะทำได้ หรือหากถ้าจะทำก็ต้องมีภาระชดเชยให้กับผู้ถือสัญญาเพราะเป็นการทำผิดสัญญาแต่ทั้งนี้ประเด็นดังกล่าวอาจจะกระทบสัญญาที่จะเกิดขึ้นใหม่ก็จะทำให้สัญญาใหม่ๆมีโอกาสทำกำไรได้น้อยลงเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมาทำให้ความน่าสนใจลงทุนของผู้ประกอบการสำหรับโครงการในประเทศไทยลดลงก็จะเป็นภาระต่อ EGATต่อไปที่หากไม่มีเอกชนเข้ามาลงทุน กฟผ.ก็ต้องดำเนินการลงทุนเองทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าได้หันไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากโครงการในประเทศไทยที่ลดลงและผลตอบแทนการลงทุนที่ต่ำจึงไม่น่าสนใจอยู่แล้ว
เชียร์ GULF กำไรลุ้นนิวไฮ
สำหรับหุ้นโรงไฟฟ้าที่น่าสนใจ หากพิจารณาจากโอเปอร์เรชั่น ฝ่ายวิจัยพบว่าแนวโน้มผลงานในไตรมาส 2/66 ยังเหมือนช่วงไตรมาส 1/66 ซึ่งเป็นไปตามค่า FT และต้นทุนราคาก๊าซลดลง ดังนั้นหากมองภาพระยะยาว แนะนำถือ หุ้น GULF, GPSC, BGRIM ส่วนในระยะสั้นมองว่า GULF น่าสนใจ จากผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/66 คาดกำไรปกติจะเติบโตต่อเนื่อง QoQ ขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง หนุนหลักจากการรับรู้โครงการ GPD phase 1 กำลังการผลิต 463.8 MWe (COD 31 มี.ค.66) และโครงการ Jackson 588 MWe(ซื้อหุ้นแล้วเสร็จ 27ก.พ.66) เข้ามาเต็มไตรมาสในครั้งแรก แม้คาดยังมีแรงกดดันบางส่วนจากส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมที่คาดผลประกอบการของโรงไฟฟ้า โรงไฟฟ้า BRK2 และกลุ่มโรงไฟฟ้า GULF GUNKUL ที่ปรับตัวลดลงตามกระแสลมในประเทศไทยและเยอรมนีที่คาดจะอ่อนตัวตามช่วงฤดูกาลก็ตาม
ดังนั้นฝ่ายวิจัยคงประมาณการกำไรปกติของ GULF ตั้งแต่ปี 66 ทำได้ 1.6 หมื่นล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 29.2%yoy หนุนหลักจากการรับรู้โครงการใหม่ๆที่จะทยอย COD เข้ามาในปี66 ราว 1.5 พัน MWe และอัตรากำไร(GPM)ของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่คาดจะปรับตัวสูงขึ้นจากค่า Ft เฉลี่ยทั้งปีคาดสูงกว่าปี65 และทิศทางต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่คาดจะเริ่มเห็นการทยอยปรับตัวลดลง YoY ให้ราคาเป้าหมาย 63 บาท


