เปิดรายชื่อ “หุ้นโรงพยาบาล” รับผลบวกเพิ่มเงินประกันสังคม
สำรวจ “หุ้นโรงพยาบาล” ไหนบ้าง รับประโยชน์เพิ่มค่ารักษาเหมาจ่ายประกันสังคม เป็น 1,808 บาทต่อคนต่อปี จากเดิม 1,640 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งจะเริ่มใช้อัตราใหม่ในวันที่ 1 พ.ค.นี้ กันแล้ว
หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า คณะกรรมการประกันสังคมจะมีการทบทวนอัตราการจ่ายค่าบริการทางการแพทย์กรณีเหมาจ่ายให้แก่สถานพยาบาลคู่สัญญา ทุกๆ ประมาณ 3 ปี
โดยล่าสุด เมื่อต้นเดือน เม.ย.2566 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการประกันสังคม มีมติเห็นชอบให้สำนักงานประกันสังคมจ่ายค่าบริการทางการแพทย์กรณีเหมาจ่ายให้แก่สถานพยาบาลคู่สัญญาในอัตรา 1,808 บาทต่อคนต่อปี จากอัตราเดิม 1,640 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.2566 เป็นต้นไป
“โพสต์ทูเดย์” จะพาสำรวจหุ้นโรงพยาบาลไหนบ้างที่ได้รับประโยชน์จากกรณีการปรับเพิ่มค่ารักษาเหมาจ่ายประกันสังคมดังกล่าว และจะส่งผลต่อกำไรมากน้อยแค่ไหน
นายเกษม พันธ์รัตนมาลา กรรมการ และหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า จากการปรับค่าหัวเหมาจ่ายเพิ่มขึ้น ก็ค่อนข้างเป็นประโยชน์พอสมควรสำหรับ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH เนื่องจาก BCH รับลูกค้าประกันสังคมมานานแล้ว โดยปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีลูกค้าประกันสังคมจำนวนมากประมาณกว่า 1 ล้านราย และมีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี จาก 1. การที่มีเครือข่ายมาก และ 2. ควบคุมต้นทุนได้ค่อนข้างดี
“ค่าหัวเหมาจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ช่วยในส่วนมาร์จิ้นของผู้ประกันตนได้ค่อนข้างค่อนเยอะพอสมควร และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ พอค่าหัวเหมาจ่ายเพิ่มขึ้น ก็แทบจะไหลลง Bottom Line แต่ก็ต้องดูปีนี้ว่า BCH บริหารจัดการต้นทุนได้อย่างไรด้วย”
ส่วนนัยสำคัญต่อผลประกอบการนั้น หากเทียบก่อนโควิด-19 รายได้ประกันสังคมประมาณ 1 ใน 3 โดยรายได้จากผู้ประกันตนประมาณ 50% ส่งผลให้คาดว่ากำไรปี 2566-2567 จะเพิ่มขึ้น 4-6%
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2ปีที่ผ่านมา BCH มีรายได้จากโควิด-19 ค่อนข้างมาก ขณะที่ในปี 2566 รายได้จากโควิด-19 หายไปเกือบหมด แม้ระบาดอยู่แต่ไม่ใช่โรคร้ายแรง ดังนั้นแม้รายได้ประกันสังคมเพิ่มขึ้นก็ยังไม่สามารถชดเชยรายได้ที่หายไปจากโควิด-19 ที่ลดลง
ทางด้านราคาหุ้น BCH ปัจจุบันได้รับข่าวดังกล่าวไปแล้วมากพอสมควร นอกจากนี้ประเด็นนี้ ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์ตลาดหุ้นบ้านเรา หรือตลาดหุ้นต่างประเทศ ค่อนข้างผันผวนมาก ดังนั้นนักลงทุนหลบเข้ามาในหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลค่อนข้างมาก จึงเป็นอีกสาเหตุที่ราคาหุ้น BCH ปรับขึ้นมาด้วย
นอกจากนี้ ประเมินว่า บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG ก็ได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นค่าหัวเหมายจ่ายเช่นกัน เนื่องจาก CHG มีกลยุทธ์คล้ายๆ กับ BCH คือ มีผู้ป่วยประกันสังคมจำนวนมากเหมือนกัน โดยมีผู้ประกันตนประมาณ 520,000 ราย อย่างไรก็ตาม CHG ต้องการเน้นลูกค้าเงินสดมากกว่า ส่วนหนึ่งมาจากลูกค้าเงินสดมีมาร์จิ้นที่ดีกว่าลูกค้าประกันสังคม
“ลูกค้าประกันสังคมเป็น Cash Flow ที่ดีที่คอยหล่อเลี้ยงในช่วงโควิด-19 ที่ไม่มีคนมารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล ดังนั้นอย่างน้อยโรงพยาบาลที่รับลูกค้าประกันสังคมก็ยังได้ค่าหัวประกันสังคมโดยเหมาจ่าย แต่ในช่วงถัดๆ ไป CHG น่าจะเน้นในส่วนลูกค้าประกันสังคมน้อยกว่า BCH”
นอกจากนี้ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS ก็เป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่งที่มีลูกค้าประกันสังคมจากโรงพยาบาลเครือข่ายรวมประมาณ 700,000 ราย (ทั้งกลุ่ม) แต่เนื่องจากรายได้ของกลุ่มนี้เยอะมาก ทำให้รายได้จากลูกค้าประกันสังคม คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2% เท่านั้น และกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ เน้นลูกค้าระดับกลางถึงระดับสูง ดังนั้นก็อาจจะไม่ผลต่อกำไรมากนัก
ขณะที่อีกกลุ่ม คือ บริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด (มหาชน) หรือ RAM แต่ RAM ไม่ได้รับโดยตรง แต่เป็นโรงพยาบาลวิภาราม ที่ถือหุ้น 50% ซึ่งมีลูกค้าประกันสังคมประมาณ 510,000 ราย ซึ่งโรงพยาบาลวิภาราม ก็เป็นโรงพยาบาลที่ค่อนข้างแอคทีฟในกลุ่มประกันสังคม เพราะฉะนั้นก็ได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นค่าหัวเหมายจ่ายเช่นกัน
สอดคล้องกับ บล.กรุงศรี พัฒนสิน ที่มีมุมมอง Slightly positive ต่อการปรับเพิ่มค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายอัตราใหม่ที่
1,808 บาทต่อคนต่อปี เนื่องจากอัตราใหม่ปรับขึ้น 10.2% จากอัตราปัจจุบัน 1,640 บาทต่อคนต่อปี ทำให้ค่าบริการทางการแพทย์รวมสำหรับผู้ประกันตนเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 4% จาก 3,959 บาทต่อคนต่อปี เป็น 4,127 บาทต่อคนต่อปี มีผลบวกต่อค่ารักษาเฉลี่ยสำหรับลูกค้าประกันสังคมของ BCH และ CHG เพิ่มขึ้น และเป็น upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิ
ทั้งนี้ หุ้นโรงพยาบาลที่ศึกษาซึ่งให้บริการลูกค้าประกันสังคม ได้แก่ BDMS, BCH และ CHG โดยในปี 2565 มีลูกค้าประกันสังคมใช้สิทธิประมาณ 700,000 คน, 980,000 คน และ 500,000 คน ตามลำดับ ซึ่งหากพิจารณาสัดส่วนรายได้ประกันสังคม พบว่า BCH และ CHG มีสัดส่วนประมาณ 18% และ 21% ของรายได้ปี 2565 ตามลำดับ มากกว่า BDMS ที่มีสัดส่วนรายได้ 3% จึงมองว่า BCH และ CHG จะได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นค่าบริการเหมาจ่ายมากกว่า
โดยคาดว่า BCH จะมีผลบวกจากการปรับเพิ่มอัตราค่ารักษาประกันสังคมมากกว่า CHG เล็กน้อย เนื่องจากคาดว่าในปี 2566-2568 ค่ารักษาประกันสังคมเฉลี่ยของ BCH เพิ่มขึ้นจากเดิม 5% ต่อปี และคาดว่าจะมีกำไรสุทธิปี 2566 เพิ่มขึ้น 5% ส่วนปี 2567-2568 คาดว่ากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 6% ต่อปี รวมทั้งประเมินราคาเป้าหมายส่วนเพิ่ม 0.70 บาท จากราคาเป้าหมาย 22.60 บาท
สำหรับ CHG คาดว่าปี 2566-2568 ค่ารักษาประกันสังคมเพิ่มขึ้นจากเดิม 5% ต่อปี และคาดว่าจะมีกำไรสุทธิปี 2566 เพิ่มขึ้น 4% ส่วนปี 2567-2568 คาดว่ากำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5% ต่อปี ประเมินราคาเป้าหมายส่วนเพิ่ม 0.10 บาท จากราคาเป้าหมาย 4.40 บาท
เช่นเดียวกัน บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า การปรับอัตราการเบิกจ่ายค่าบริการทางการแพทย์กรณีเหมาจ่ายจาก 1,640 บาทต่อคนต่อปี เป็น 1,808 บาทต่อคนต่อปี ส่งผลบวกต่อกลุ่มการแพทย์โดยรวม โดยการปรับเพิ่มการเบิกจ่ายดังกล่าว จะส่งผลให้โรงพยาบาลมีรายได้และอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้น จากการมีค่าใช่จ่ายที่คงที่ แต่มีฐานรายได้ที่สูงขึ้นตามจำนวนผู้ประกันตนในระบบ
โดยมองว่า BCH และ CHG เป็นโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มประกันสังคมสูงจากการที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดในระดับสูง โดย BCH และ CHG มีจำนวนผู้ประกันตนในระบบที่ 900,000 ราย และ 520,000 ราย ตามลำดับ ส่งผลให้คาดว่าจะมี Upside ต่อคาดกาณ์กำไรปี 2566 ที่ 7.4% และ 5.6% ตามลำดับ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” BCH ที่ราคาป้าหมาย 23.60 บาท และ CHG ที่ราคาเป้าหมาย 4.70 บาท


