posttoday

ทริสฯ หั่นเรทติ้ง STARK เหลือ BB- เหตุเปลี่ยนบอร์ดยกชุด ส่อปัญหาภายในร้ายแรง

22 เมษายน 2566

ทริสฯ ลดอันดับเครดิต STARK เหลือ “BB-” จาก “BBB+” หลังเปลี่ยนบอร์ดยกชุด ส่อปัญหาบริหารภายในร้ายแรง และขอเลื่อนส่งงบการเงินปี 65 ทำให้เกิดข้อสงสัยงบการเงินในอดีต รอมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้ 28 เม.ย.นี้ หากไม่ยกเว้นเหตุผิดนัด เล็งลดเรทติ้งสู่ระดับ “C” หรือ “D”

บริษัททริสเรทติ้ง ลดอันดับเครดิตองค์กร บริษัท สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เป็น “BB-” จาก “BBB+” ในขณะที่ยังคง “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” เช่นเดิม

สำหรับเรทติ้ง BB- หมายถึง ความน่าเชื่อถือต่ำ กลุ่มตราสารหนี้ระดับเก็งกำไร (Speculative Grade Bonds) ส่วนเรทติ้ง BBB ความน่าเชื่อถืออยู่ในเกณฑ์พอใช้ กลุ่มตราสารหนี้ ระดับน่าลงทุน (Investment Grade Bonds) 

ทริส ระบุว่า การปรับลดอันดับเครดิต STARK ครั้งนี้ สืบเนื่องจากการประกาศของบริษัทเมื่อวันที่ 19 เม.ย.2566 ว่า บริษัทขอเลื่อนการนำส่งงบการเงินประจำปี 2565 เป็นครั้งที่ 3 โดยคาดว่าจะจัดส่งได้ภายในเดือน มิ.ย.2566 นอกจากนี้ บริษัทยังได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริษัททั้งชุดและผู้บริหารที่สำคัญ รวมไปถึงการแต่งตั้ง นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ให้ดำรงตำแหน่งรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร 

ดังนั้นในมุมมองของทริส การเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริษัททั้งชุดนั้น บ่งชี้ถึงความรุนแรงของปัญหาในการบริหารภายในบริษัท ซึ่งจนถึงปัจจุบันบริษัทยังไม่สามารถชี้แจงถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในบริษัทได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ การขอเลื่อนส่งงบการเงินออกไปอีกนั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยที่มากมายยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของงบการเงินในอดีตของบริษัท 

ผลจากการที่บริษัทไม่สามารถจัดส่งงบการเงินได้ตามเวลาที่กำหนด ถือว่าเป็นเหตุผิดนัดตามข้อกำหนดว่าด้วยสิทธิและหน้าที่ของผู้ออกหุ้นกู้ 

ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นกู้จะมีการจัดประชุมในวัน ที่ 28 เม.ย.2566 เพื่อพิจารณาการยกเว้นเหตุผิดนัดจากการส่งงบการเงินล่าช้า ในกรณีที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นกู้มีมติไม่ยกเว้นเหตุผิดนัดดังกล่าว ผู้ถือหุ้นกู้มีสิทธิในการประกาศ เหตุผิดนัดตามที่ระบุไว้ในข้อกำหนดสิทธิของหุ้นกู้ และมีสิทธิเรียกร้องให้หนี้ทั้งหมดภายใต้หุ้นกู้ถึงกำหนดชำระในทันที

ในกรณีเช่นนี้ ทริสเรทติ้ง อาจปรับลดอันดับเครดิตของบริษัท ลงสู่ระดับ “C” หรือ “D” ขึ้นอยู่กับผลการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 28 เม.ย.2566