เจาะพลังมั่งคั่งของหุ้นโรงไฟฟ้า ทำรายได้ทะยาน-เก็บกำไรอู้ฟู่
ส่อง 3 หุ้นโรงไฟฟ้า “GULF-EA-GUNKUL” กำไรปี 65 เติบโตโดดเด่น และแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/66 รับกระแส "ค่าไฟแพง"
กระแสมาแรงในช่วงนี้คงหนีไม่พ้นกระแส “ค่าไฟแพง” เห็นหลาย ๆ ครัวเรือนนำบิลค่าไฟฟ้ามาลงโซเซียลมีเดียโชว์ค่าไฟฟ้าที่จ่ายแพงขึ้นเป็นอย่างมากจนน่าตกใจ!
ประชาชนก็คงทำได้แค่รับฟังเหตุผลที่หลาย ๆ หน่วยงานออกชี้แจงถึงสาเหตุของค่าไฟฟ้าที่แพงขึ้น แต่ก็ยังคงต้องจ่ายค่าไฟแพงตามเดิมในฐานะคนใช้ไฟฟ้า ขณะที่คนขายไฟฟ้า อย่างบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้า มีรายได้และกำไรกันอย่างอู้ฟู่
“โพสต์ทูเดย์” จะพาสำรวจ 3 หุ้นโรงไฟฟ้า ที่มีผลการดำเนินงานเติบโตในปี 2565 รวมไปถึงแนวโน้มในไตรมาส 1/2566 ประกอบด้วย บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA และบริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL
เริ่มกันที่ GULF ดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าทั้งโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ และโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (ชีวมวล/พลังงานแสงอาทิตย์/พลังงานลม/พลังงานน้ำ) โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมมากกว่า 14 กิกะวัตต์
โดย “สารัชถ์ รัตนาวะดี” เป็นผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GULF ถือหุ้นอันดับ 1 จำนวน 4,185,088,097 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 35.67% และ ณ วันที่ 20 เม.ย.2566 มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) อยู่ที่ 604,257.22 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานในปี 2565 GULF มีรายได้รวมอยู่ที่ 95,076.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 90.2% จากปี 2564 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 49,983.74 ล้านบาท เป็นรายได้จากธุรกิจผลิตไฟฟ้าจาก๊าซธรรมชาติ และธุรกิจพลังงานหมุนเวียน รวม 89,236 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 11,417.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.9% จากปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 7,670.30 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มกำไรปกติในไตรมาส 1/2566 ของ GULF บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ประเมินว่า ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงจากไตรมาส 4/2565 แรงหนุนจากการรับรู้โครงการ Jackson ประเทศสหรัฐอเมริกา 588 เมกะวัตต์ รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่คาดจะฟื้นตัวจากทิศทางราคาก๊าซฯ ที่ลดลงและการรับรู้การปรับขึ้นค่า Ft ในเดือน ม.ค.- เม.ย.2566
อย่างไรก็ตาม จะมีปัจจัยกดดันจากโครงการ BRK2 ที่มีสัดส่วนการถือหุ้นเหลือเพียง 25% จากเดิม 50% และคาดว่าจะได้รับส่วนแบ่งกำไร GULF GUNKUL (GGC) ที่คาดจะผลิตไฟฟ้าได้น้อยลง หลังจากผ่านพ้นช่วง High season ของลมมาแล้ว
ขณะเดียวกัน เบื้องต้นประมาณการกำไรปกติปี 2566 ไว้ที่ 18,00 ล้านบาท เติบโต 45.2% จากปี 2565 หลักๆ จากการรับรู้โครงการ GSRC phase 3-4 กำลังการผลิตรวม 1,300 เมกะวัตต์ ได้เต็มที่ทั้งปี และโครงการ GPD phase 1-2 และโครงการ Jackson ประเทศสหรัฐอเมริกา กำลังการผลิตรวม 1,900 เมกะวัตต์ ที่จะทยอย COD และรับรู้เข้ามาในปี 2566
นอกจากนี้คาดว่ากลุ่มโรงไฟฟ้า SPP (สัดส่วนขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมราว 10-15% ของรายได้จากการขายไฟฟ้าโดยรวม) จะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้น จากแนวโน้มต้นทุนก๊าซฯ ที่คาดจะเริ่มปรับตัวลดลง
มาต่อกันที่ EA ดำเนินธุรกิจหลัก 4 กลุ่ม โดยหนึ่งในนั้น คือ ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (พลังงานลม-พลังงานแสงอาทิตย์) โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวม 664 เมกะวัตต์
โดย “สมโภชน์ อาหุนัย” เป็นผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EA ถือหุ้นอันดับ 1 ผ่านนิติบุคคล บริษัท เอสพีบีแอล โฮลดิง จำกัด จำนวน 936,230,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25.10% และ ณ วันที่ 20 เม.ย.2566 มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) อยู่ที่ 271,357.50 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานในปี 2565 EA มีรายได้รวมอยู่ที่ 27,546.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.99% จากปี 2564 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 20,558.10 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากธุรกิจไฟฟ้า 11,181.66 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 7,604.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.66% จากปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 6,100.07 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มกำไรปกติในช่วงไตรมาส 1/2566 บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ประเมินว่า จะอ่อนตัวลงจากไตรมาส 4/2565 โดยกดดันหลักๆ มาจากธุรกิจโรงไฟฟ้า ซึ่งยังเป็นสัดส่วนธุรกิจหลักของ EA ที่คาดปริมาณขายไฟฟ้าจะปรับตัวลดลงตามกระแสลมที่อ่อนตัวจากไตรมาส 4/2565 ตามช่วงฤดูกาล ในขณะที่ธุรกิจไบโอดีเซลคาดทั้งปริมาณและราคาขายยังทรงตัวอยู่ใกล้เคียงอยู่ในระดับเดิม
ทั้งนี้ เบื้องต้นประมาณการกำไรปกติปี 2566 ที่ 6,800 ล้านบาท เติบโต 26.7% จากปี 2565 หนุนหลักจากธุรกลุ่มธุรกิจ โดยธุรกิจไฟฟ้าคาดได้รับอานิสงค์จากราคาขายที่สูงขึ้นตามการปรับขึ้นค่า Ft รวมถึงปริมาณขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากทั้งกลุ่มโรงไฟฟ้า solar ที่มีการทยอยเปลี่ยนแผงโซลาร์จนแล้วเสร็จในช่วงเดือน มี.ค.2565 และกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานลม ที่คาดจะมีกระแสลมที่กลับมาสู่ระดับปกติ จากในปี 2565 มีกระแสลมที่อ่อนตัว
ส่วนธุรกิจไบโอดีเซล คาดจะมีปริมาณขายโดยรวมเพิ่มขึ้น หลังจากรัฐบาลประกาศปรับเพิ่มสูตรผสมน้ำมันไบโอดีเซลกลับมาเป็น B7 ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค.2565 จากเดิมที่ลดสูตรน้ำมันไบโอดีเซลลงเป็น B5 ตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ.-9 ต.ค.2565 รวมถึงภาคการท่องเที่ยวในประเทศไทยที่คาดจะเริ่มฟื้นตัว หนุนให้ความต้องการใช้น้ำมันปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ ธุรกิจแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า คาดจะปรับตัวสูงขึ้นจาการทยอยส่งมอบรถตามคำสั่งซื้อจากลูกค้าที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทมีแผนส่งมอบรถโดยสารไฟฟ้าในปี 2566 ที่ประมาณ 2,000 คัน จากที่เคยส่งมอบได้รวมทั้งสิ้น 1,160 คัน ในปี 2565 รวมถึง upside ส่วนเพิ่มจากเป้าหมายของบริษัทที่คาดจะส่งมอบรถบรรทุกหัวลากและรถไฟฟ้าอื่นๆ ได้อีกประมาณ 2,000 คัน
สุดท้าย GUNKUL ดำเนินธุรกิจหลัก 5 กลุ่ม โดยหนึ่งในนั้น คือ ธุรกิจพลังงานทดแทนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โรงไฟฟ้าพลังงานลม และให้บริการเดินเครื่องและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวม 600 เมกะวัตต์
โดย “กัลกุล ดำรงปิยวุฒิ์” เป็นผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริษัท GUNKUL ถือหุ้นอันดับ 2 (ทางตรง) จำนวน 315,650,450 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 3.55% และ ณ วันที่ 20 เม.ย.2566 มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) อยู่ที่ 35,352.47 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานในปี 2565 GUNKUL จะเห็นได้ว่าแม้มีรายได้รวมอยู่ที่ 7,566.35 ล้านบาท ลดลง 23.32% จากปี 2564 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 9,868.13 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากการขายไฟฟ้า 3,448.85 ล้านบาท แต่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,010.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.05% จากปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,229.27 ล้านบาท
ทางด้านแนวโน้มกำไรปกติในไตรมาส 1/2566 บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ประเมินว่า จะปรับตัวลดลงจากไตรมาส 4/2565 กดดันจากธุรกิจไฟฟ้าที่คาดจะเริ่มผ่านพ้นจุดสูงสุดของปีในไตรมาส 4 มาแล้ว ขณะที่ธุรกิจอื่น ๆ คาดยังมีรายได้ทรงตัวใกล้เคียงระดับเดิมในไตรมาส 4/2565 อย่างไรก็ตาม จะมีแรงหนุนชดเชยได้เล็กน้อย จากค่าใช้จ่าย SG&A ที่คาดจะปรับตัวลดลงสู่ระดับปกติ


