เปิด 4 แคนดิเดต ว่าที่เลขาธิการ ก.ล.ต. คนต่อไป ใครเป็นตัวเต็งบ้าง
หลังจากบอร์ดโหวตไม่ต่ออายุงาน เลขา ก.ล.ต. คนปัจจุบัน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างเปิดรับผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม แต่ล่าสุดมีรายงานข่าวเปิดชื่อแคนดิเดต 4 คน ซึ่งอยู่ในขอบข่ายจะมาเป็นผู้นำขับเคลื่อนนโยบายตลาดทุนไทยคนต่อไป โดยมี ดร. กอบศักดิ์ เป็นตัวเต็งนำโด่ง
จากที่ตำแหน่งเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะว่างลงในวันที่ 1 เดือนพฤษภาคม 2566 นั้น ทาง ก.ล.ต จึงได้ประกาศรับสมัคร เพื่อสรรหาเลขาธิการ ก.ล.ต. คนที่ 13 ระหว่างวันที่ 7 – 27 ก.พ. 2565
ทั้งนี้ระบุว่า ผู้สมัครจะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนด โดยคณะกรรมการ ก.ล.ต. จะเป็นผู้พิจารณาคัดเลือกบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นเลขาธิการ โดยคำนึงถึงความรู้ ประสบการณ์ ความสามารถและความเชี่ยวชาญในด้านตลาดทุน
อีกทั้งยังต้องมีคุณลักษณะส่วนบุคคลที่เหมาะสมจำเป็นและสอดคล้องในการบริหารและขับเคลื่อนองค์กรได้อย่างบรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนด รวมทั้งประสบการณ์ด้านอื่นที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำหน้าที่เลขาธิการ
นั่นคือ เพื่อให้บรรลุเจตนารมณ์ของกฎหมาย วิสัยทัศน์ พันธกิจ และวัตถุประสงค์ขององค์กร ก.ล.ต. ในการส่งเสริมและพัฒนา ตลอดจนการกำกับดูแลตลาดทุน และคำนึงถึงคุณลักษณะด้านธรรมาภิบาล พฤติกรรมที่สอดคล้องกับจรรยาบรรณที่ดี และไม่มีลักษณะที่แสดงถึงการขาดความเหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจให้ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการด้วย
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดมีรายงานข่าวระบุชื่อบุคคล 4 ราย ที่จัดว่าเป็นแคนดิเดตหรือตัวเต็งที่จะได้รับการสรรหาให้มาเป็นเลขาธิการคนที่ 13 ซึ่งประกอบด้วย 1) รณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย 2) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ 3) วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน และ 4) รื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต.
ตัวเต็งที่วงในอยากได้
ชื่อตัวเต็งนำโด่ง ที่วงในย้ำว่า "ต้องการมากที่สุด" ให้มารับตำแหน่งเลขา ก.ล.ต. คนที่ 10 ด้วยคุณสมบัติโดดเด่น เหมาะสมกับทุก ๆ ตำแหน่ง นั่นก็ คือ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ
ด้วยศักยภาพเต็มพิกัดทั้งบารมีและความสามารถ เนื่องจากไม่เพียงเป็นนักเศรษฐศาสตร์ ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาประเทศรอบด้านแล้ว ยังรอบรู้ด้านการเงินและตลาดทุน
สำหรับประวัติ ดร.กอบศักดิ์นั้น นอกจากหน้าที่การงานปัจจุบันในฐานะ ประธานกรรมการ สภาตลาดทุนไทย (FETCO) และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพแล้ว ยังเป็นอุปนายก สมาคมบริษัทจดทะเบียน และประธานกรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ด้วย
แต่ที่สำคัญคือ ดร.กอบศักดิ์เองก็มีสายสัมพันธ์ทางการเมืองและเคยยังดำรงตำแหน่งในหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ อาทิ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เลขานุการ และกรรมการ คณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ และกรรมการธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
เช่นเดียวกับที่ประวัติการศึกษาก็ครบเครื่อง ในฐานะอดีตนักเรียนทุนแบงก์ชาติ ที่ได้รับปริญญาเอก เศรษฐศาสตร์มหภาค และเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ, Massachusetts Institute of Technology สหรัฐอเมริกา และปริญญาตรี คณิตศาสตร์และเศรษฐศาสตร์, William College สหรัฐอเมริกา หลังสำเร็จมัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในปี 2529 และมัธยมศึกษาตอนต้น จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ในปี 2526
ดร.กอบศักดิ์ถือว่า เป็นลูกหม้อและเป็นบุคลากรหัวกะทิของแบงก์ชาติ จนทำให้เขาเป็น 1 ใน 3 รายชื่อ คว้าทุนของธปท.เพื่อไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกา หลังสำเร็จการศึกษา ในปี 2551 ได้กลับมาปฏิบัติงาน ในตำแหน่งผู้บริหารส่วนเศรษฐกิจมหาภาค
และช่วงหนึ่ง ได้ถูกยืมตัวไปทำงานที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในตำแหน่งผู้บริหารสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ดูแลด้านงานวิจัย และผู้ช่วยผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดูแลฝ่ายพัฒนากลยุทธ์ ในระหว่างปี 2550-2551
จากนั้นจนถึงปี 2552-2553 ได้กลับมาทำงานที่ธปท. ในตำแหน่งผู้บริหารส่วนกลยุทธ์นโยบายการเงิน สายนโยบายการเงิน ธปท. รับผิดชอบงานที่เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงินและประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
หลังจากนั้นเมื่อปี 2553 ตัดสินใจลาออกเพื่อหาประสบการณ์ในภาคเอกชน โดยทำงานที่ธนาคารกรุงเทพ ตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ กิจการธนาคารต่างประเทศ ก่อนขยับตำแหน่งขึ้นเป็นลำดับ จนมาถึงปี 2565 ได้ดำรงตำแหน่งกรรมการรองผู้จัดการใหญ่กรรมการบริหาร กรรมการกำกับดูแลกิจการ เลขานุการบริษัท
ในด้านวิชาการได้ผลิตผลงานการศึกษาต่าง ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง จนได้รับรางวัล ป๋วย อึ๊งภากรณ์ สำหรับนักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหม่ ที่มีผลงานดีเด่น ประจำปี 2552 จาก สถาบันป๋วย อึ๊งภากรณ์ สถาบันทางวิชาการเศรษฐศาสตร์ 7 สถาบัน และกองทุนป๋วย อึ๊งภากรณ์ มูลนิธิ 50 ปี ธนาคารแห่งประเทศไทย
จากจุดนี้เองทำให้ผลงานของดร.กอบศักดิ์ ได้คำประกาศเกียรติคุณของคณะกรรมการว่า เป็นนักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหม่ที่มีความแม่นยำและความลุ่มลึกในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ และมีความโดดเด่นที่สามารถตีความข้อมูลเชิงประจักษ์ที่คุ้นเคยให้เกิดมุมมองใหม่ที่น่าสนใจและเข้าใจได้ง่าย งานวิชาการของ ดร.กอบศักดิ์ สามารถทำให้เกิดการถกเถียงและเปิดประเด็นให้เกิดการศึกษาวิจัยสืบเนื่องอย่างกว้างขวางได้ในขณะนั้น
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เขายังได้ทุนพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย จากมูลนิธิ 50 ปี ธปท. เพื่อทำการศึกษาวิจัยเรื่อง "ปัญหาการกระจายรายได้ในไทยและทางออก" ซึ่งบทวิจัยนี้ได้เป็นพื้นฐานเชิงวิชาการสำคัญ ในการกำหนดนโยบายของภาครัฐ เพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำ และแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศ
อีก 3 แคนดิเดตที่ต้องจับตา
สำหรับ รณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย นั้นเป็นลูกหม้อของแบงก์ชาติมากว่า 30 ปี ที่แม้จะโดดเด่นในแง่การเชื่อมโยงสายสัมพันธ์ระหว่าง ก.ล.ต. กับแบงก์ชาติ ที่ส่งผ่านมาจากอดีตผู้ว่าการ ธปท. และอดีตเลขาธิการ ก.ล.ต. อย่าง ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ก็ตาม
แต่ด้วยสายเลือดแบงก์ชาติที่เข้มข้น แบบที่ไม่มีประสบการณ์จากหน่วยงานอื่นมาเจือปน ก็อาจพลิกผันให้รณดลไปไม่ถึงเก้าอี้เลขา ก.ล.ต. คนใหม่ได้เช่นกัน จากมุมมองของวงใน
แต่รณดลก็มี profile ที่น่าสนใจไม่น้อย ด้วยเขาจบปริญญาตรี Economics and Mathematics Saint Olaf College สหรัฐอเมริกา ปริญญาโท Finance, Investment and Banking มหาวิทยาลัย University of Wisconsin-Madison สหรัฐอเมริกา และ Chartered Financial Analyst (CFA)
ทั้งนี้ แม้ นายรณดล เรียนจบทางด้านเศรษฐศาสตร์ แต่เติบโตในสายงานกำกับสถาบันการเงิน โดยเริ่มงานกับ ธปท. ในหน่วยงานวิเคราะห์ฝ่ายการธนาคาร ทำงานวิเคราะห์ตลาดเงินและความเคลื่อนไหวของตลาดมาก่อน
นอกจากนี้ รณดล ยังมีส่วนสำคัญในการจัดตั้งสำนักงานตัวแทนธนาคารที่นครนิวยอร์กด้วย แล้วได้รับโอกาสให้ไปดูแลด้านบริหารเงินสำรอง จนกระทั่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ก็ได้รับมอบหมายให้มาทำงานด้านการกำกับสถาบันการเงิน และเป็นสายงานหลักที่ดูแลมาถึงปัจจุบัน
ด้าน วิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน เป็นอีกหนึ่งแคนดิเดตของตำแหน่งเลขา ก.ล.ต. คนที่ 10 ที่วงในระบุว่าเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมในหลายด้าน แต่อาจมีอุปสรรคบางประการ ที่ขวางตัวเขาจากการขยับเข้าใกล้เก้าอี้เลขาธิการ ก.ล.ต. คนต่อไป ทั้งไม่ว่าจะด้วยความเกรงใจพี่สาวที่นับถือกันมาช้านนาน หรือจะด้วยหวั่นเกรงคำขู่ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม วิทัยก็จัดเป็นผู้มีคุณสมบัติเหมาะกับสถานะตัวเต็ง ทั้งด้วยความเป็นผู้นำองค์กรที่มีความรู้ความสามารถ รวมถึงประวัติการศึกษาที่โดดเด่น ทั้งเรียนจบ ปริญญาโท เศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท กฎหมายธุรกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพิ่มเติมด้วยปริญญาโท การเงิน Drexel University, U.S.A. ตลอดจนปริญญาตรี เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วย
ขณะเดียวกันยังมีประสบการณ์และวิสัยทัศน์ในการทำงานที่หลากหลาย นอกจากปัจจุบันที่วิทัยเป็นผู้ขับเคลื่อนธนาคารออมสินในฐานะผู้อำนวยการมาเป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้ว แต่ก่อนนี้ในปี 2561 – 2563 ก็เคยดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ มาก่อน
ทั้งนี้ประสบการณ์ทำงานของวิทัย ก็หลากหลายไม่น้อยหน้าใคร ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับมอบหมายให้รักษาการผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เคยเป็น กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านเศรษฐกิจ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล อีกทั้งเป็นกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด
อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนไปในปี 2559 – 2561 วิทัย เคยเป็นรองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลงทุนและบริหารการเงิน (Chief Financial Officer) และปี 2558 – 2559 ก็ยังเป็นรองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าธุรกิจและภาครัฐด้วย
เข่นเดียวกับที่เคยผ่านบทบาทนอกสถาบันการเงิน ทั้งการเป็นประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน บมจ. สายการบินนกแอร์ เป็นรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บมจ. เครือเจริญโภคภัณฑ์ และกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนนครหลวงไทย จำกัด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด)
สำหรับอีกหนึ่งแคนดิเดตที่หลายคนอาจตั้งคำถามและสงสัยว่ากลายมาเป็น 1 ใน 4 ชื่อนี้ได้อย่างไรนั้น คงต้องบอกว่าด้วยจิตใจที่ยังไม่ยอมแพ้และความมุ่งมั่นที่อยากลองวางเดิมพันดูสักตั้ง ทำให้เลขาธิการ ก.ล.ต. คนปัจจุบันอย่าง รื่นวดี สุวรรณมงคล ก็ตัดสินใจลงสมัครเป็นหนึ่งในตัวเลือกอีกครั้ง แม้ว่าก่อนนี้จะเคยถูกปฏิเสธให้รับหน้าที่นี้มาแล้วก็ตาม
เส้นทางสู่ตำแหน่งเลขาธิการ ก.ล.ต. ของเธอเริ่มขึ้นเมื่อปี 2561 ซึ่งขณะที่ยังดำรงตำแหน่งนั้นได้เคยวางเป้าหมายใหญ่และมุ่งหวังจะผลักดันให้เกิดขึ้น คือการขับเคลื่อน "แผนพัฒนาตลาดทุนไทย" เพื่อให้ตลาดทุนไทยเป็น "Capital Market for All" อย่างแท้จริง ซึ่งนั่นหมายถึงความหวังที่อยากเห็นประโยชน์และการเข้าถึงตลาดทุนเกิดกับประชาชน SMEs Startup และผู้ลงทุนรายย่อย
แต่ก่อนหน้านั้นรื่นวดีเคยผ่านประสบการณ์มาหลากหลาย ทั้งเคยเป็นยอธิบดีกรมคุมประพฤติ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม รองผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม, รองผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม ช่วยปฏิบัติราชการทางศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.), รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม
ในส่วนของผลงาน และ เกียรติประวัติ ไม่เพียงเป็นบุคคลตัวอย่าง “คนไทย ตื่นรู้สู้โกง" องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) 2561แล้ว ยังได้รับการยกย่องให้เป็นสตรีนักบริหารดีเด่น สาขาสตรีผู้บริหารภาคราชการดีเด่น ประจำปี พ.ศ. 2560 กระทรวงแรงงาน สตรีผู้มีบุคลิกดีเด่น ปี 2559 สมาคมส่งเสริมบุคลิกสตรี นักเรียนเก่าดีเด่น สมาคมนักเรียนเก่าราชินี ในพระบรมราชินูปถัมภ์ รวมถึงรางวัลผู้นำองค์กรดิจิทัลดีเด่น 2020 สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลด้วย
ด้านการศึกษา เธอจบการศึกษาเนติบัณฑิตไทย (นบ.ท.) สำนักอบรมกฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา นิติศาสตรมหาบัณฑิต (LL.M.) Harvard Law School, the United States of America , บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (M.B.A.) Walter A. Haas School of Business, University of California, Berkeley, the United States of America และนิติศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จากทั้ง 4 แคนดิเดต ที่ต่างมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ส่วนสุดท้ายใครจะเป็นผู้จับจ้องเก้าอี้เลขา ก.ล.ต. หมายเลข 13 ตัวจริง คงต้องให้เวลาทำงานสักระยะ ก่อนจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนต่อไป


