posttoday

จัดทัพลงทุน ‘กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ’

30 สิงหาคม 2558

ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยัง “ชาร์จ” ไม่ติด หลายคนอาจกังวลกับนโยบายการลงทุนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

โดย...เยาวนา หลิมเลิศรัตน์

ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยัง “ชาร์จ” ไม่ติด หลายคนอาจกังวลกับนโยบายการลงทุนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ได้เลือกไว้ จะเหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและการลงทุนหรือไม่

“ศุภกร สุนทรกิจ” กรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารความมั่งคั่ง บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย เวลท์ (AWS) แนะนำว่า ก่อนจะตัดสินใจปรับเปลี่ยนนโยบายการลงทุนต้องถามตัวเองก่อนว่าสามารถรับความเสี่ยงได้แค่ไหน โดยวัดจากการประเมินความเสี่ยงที่ทุกคนต้องตอบคำถาม เพื่อรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง

หากตัดสินใจเลือกนโยบายลงทุนตามเพื่อน ตามคำบอกเล่าให้ลงทุนหุ้นที่ถือเป็นสินทรัพย์เสี่ยงสูงในสัดส่วนที่มาก พอเห็นหุ้นตกสิบจุด ยี่สิบจุดแล้วหัวใจจะวาย ตอบได้เลยว่าเป็นการเลือกลงทุนที่ไม่ตรงกับความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้

ดังนั้น การประเมิน “แบบสอบถามข้อมูลผู้ลงทุน” อย่างตรงไปตรงมาจะทำให้เลือกลงทุนได้ตรงใจ ส่วนใครที่อยากขยับลงทุนในหุ้นดูบ้าง แนะนำให้เริ่มในสัดส่วนที่น้อยๆ ดูก่อน เพื่อสร้างโอกาสของผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากผลตอบแทนจากตราสารหนี้ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำไม่เกิน 2-3% และแนวโน้มยังอยู่แถวนี้ จึงทำให้ผลตอบแทนโดยรวมของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมาจากหุ้นเป็นหลัก

สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ โดยมีการลงทุนในหุ้นอยู่บ้างแล้ว แนะนำให้คงสัดส่วนในหุ้นไว้เหมือนเดิม เพราะตั้งแต่ต้นปี 2558 จนถึงวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลง 131.73 จุด คิดเป็น 8.79% ทำให้พอร์ตกองทุนที่มีการลงทุนในหุ้นก็ติดลบลงไปแล้ว

“หุ้นที่ปรับตัวลงเป็นจังหวะที่ควรลงทุนเพิ่ม ในทางกลับกันหากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงแล้วแนะนำให้ลดน้ำหนักลงทุนในหุ้น เพราะโอกาสที่หุ้นจะขึ้นไปมากๆ มีน้อยลง จึงควรล็อกกำไรเก็บไว้ ส่วนใหญ่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะให้สมาชิกปรับเปลี่ยนนโยบายการลงทุนไม่บ่อยประมาณ 2-3 ครั้ง” ศุภกร แนะนำ

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเชื่อว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว สะท้อนในราคาหุ้นที่ปรับตัวลงหลุดระดับ 1,300 จุดไปก่อนหน้านี้ และกลับมารีบาวด์ได้อีกครั้งตามการฟื้นตัวของตลาดหุ้นต่างประเทศ รวมถึงความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดใหม่ที่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนที่มีรายได้น้อยทั้งชนบทและในเมือง เพื่อหวังกระตุ้นการบริโภค

ล่าสุดมีการเร่งรัดประมูลก่อสร้างมอเตอร์เวย์ 3 สาย รวมถึงการเลื่อนประมูล 4จี ให้เร็วขึ้น เพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน จึงมองว่าเศรษฐกิจน่าจะเริ่มฟื้นตัวในปี 2559 และขยายตัวได้เกิน 4.5% หากมาตรการต่างๆ ทำได้จริงและเริ่มเห็นผล แต่บนสมมติฐานจีนไม่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจรุนแรง

“หากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของใครแบ่งเงินลงทุนในหุ้นอยู่แล้ว แนะนำให้คงสัดส่วนไว้ หรือหากรับความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้นแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นอีก เพื่อรอเก็บเกี่ยวผลตอบแทนเมื่อเศรษฐกิจฟื้นและตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นรับข่าวดี โดยมองว่าปีนี้ดัชนีคงผ่าน 1,400 จุดไปได้ และปีหน้าคงเห็น 1,550 จุด หากมาตรการต่างๆ เห็นผล ส่วนกรณีเลวร้ายมองจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,250 จุด” ศุภกร กล่าว

สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนตามช่วงอายุสำหรับผู้ที่เริ่มทำงานจนถึงอายุ 40 ปี แนะนำให้ลงทุนในหุ้นประมาณ 40-50% เนื่องจากยังมีอายุการทำงานได้อีกนานเกือบ 20-30 ปี และเฉลี่ยเศรษฐกิจค่อยๆ โตก็มีโอกาสหนุนดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นได้จากปัจจุบันอยู่ระดับ 1,370 จุด ส่วนการลงทุนอีกสัดส่วน 50-60% อยู่ในตราสารหนี้

สำหรับกลุ่มอายุ 41-50 ปี แนะนำลงทุนในหุ้นประมาณ 25% ส่วนที่เหลือ 75% อยู่ในตราสารหนี้และกลุ่มอายุ 51-60 ปี แนะนำลดการลงทุนในหุ้นลงเหลือ 15% และตราสารหนี้อยู่ที่ 85% เนื่องจากเหลือระยะเวลาการทำงานอีกไม่กี่ปีจำเป็นต้องรักษาเงินต้นไว้ให้ดีที่สุด จึงไม่ควรไปเสี่ยงกับหุ้น

ปัจจุบันกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเปิดให้สมาชิกได้เลือกนโยบายการลงทุนที่หลากหลายขึ้น นอกเหนือจากตราสารหนี้และหุ้นแล้ว อาจเปิดให้ลงทุนหุ้นต่างประเทศหรือสินทรัพย์ทางเลือก อย่างกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และทองคำ ดังนั้นหากมีนโยบายลงทุนได้หลากหลายแนะนำให้กระจายการลงทุนออกไปท่ามกลางเศรษฐกิจรอการฟื้นตัวและหุ้นไทยที่จะมีความผันผวนมากจากนี้ไปจนถึงปีหน้า

“หุ้นต่างประเทศยังน่าสนใจ แนะนำให้ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยลง 10% เพื่อนำไปลงทุนหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่เศรษฐกิจฟื้นตัว ส่วนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอประมาณ 6-7% ต่อปี สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและตราสารหนี้ อีกทั้งความผันผวนของราคาหน่วยลงทุนน้อยกว่าหุ้น จึงลงทุนได้ทุกสภาวะแนะนำให้มีสัดส่วนลงทุนประมาณ 20-25% สำหรับทุกช่วงอายุ โดยลดสัดส่วนของตราสารหนี้ลง” ศุภกร กล่าว

สุดท้ายหลังจากปล่อยให้เงินทำงานไปแล้ว ทุกๆ 3 เดือนควรตรวจสอบพอร์ตลงทุนที่ได้เลือกไปนั้นว่าส่วนหุ้นเต็มมูลค่าแล้วหรือยัง หากราคาเพิ่มขึ้นมาสูงมากก็อาจปรับลดน้ำหนักลงทุนในหุ้นลง แล้วค่อยปรับนโยบายกลับไปลงทุนในหุ้นรอบใหม่เมื่อราคาอ่อนตัวลงก็ได้

ข่าวล่าสุด

Yindii เปลี่ยนอาหารขายไม่หมด หมุนรายได้คืนธุรกิจ 78 ล้านบาท