AI เขย่าเศรษฐกิจ 'เงินเฟ้อ-จ้างงานซบเซา' ปัญหาใหญ่เกิน Fed รับมือ
"เงินเฟ้อ-อัตราว่างงานพุ่ง" AI เขย่าเศรษฐกิจโลก แต่ Fed ยังสงวนท่าที เชื่อปรับอัตราดอกเบี้ยอย่างเดียว "ไม่เพียงพอ"
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ขณะที่ตลาดการเงินและภาคธุรกิจทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญอย่างสูงกับ "ปัญญาประดิษฐ์" (AI) และสาธารณชนเริ่มตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับการจ้างงานและค่าแรง
แต่ดูเหมือนว่าสำหรับธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ประเด็นนี้ยังคงไม่ถูกหยิบยกมาเป็นวาระเร่งด่วน
ไม่ใช่เพราะผู้กำหนดนโยบายมองว่า AI ไม่สำคัญ แต่เป็นเพราะพวกเขายังไม่สามารถประเมินได้ชัดเจนว่าผลกระทบอันมหาศาลจาก AI จะปรากฏในรูปแบบใด
และที่สำคัญคือ Fed "ขาดเครื่องมือ" ที่เหมาะสมในการเข้าไปกำหนดทิศทางหรือรับมือกับผลลัพธ์ดังกล่าว
สัปดาห์ที่แล้ว ในช่วงเวลาเดียวกับที่ Amazon ประกาศลดตำแหน่งงานหลายพันอัตรา และมูลค่าตลาดของ Nvidia พุ่งทะยานเกิน 5 ล้านล้านดอลลาร์
เจอโรม พาวเวล ประธาน Fed ถูกถามถึงประเด็นนี้หลังการประชุมนโยบายการเงินและเขากล่าวแค่เพียงว่า
"มีบริษัทจำนวนไม่น้อยที่ประกาศว่าจะไม่จ้างงานเพิ่ม หรือกำลังเลิกจ้าง และบ่อยครั้งที่พวกเขาอ้างถึง AI ดังนั้น เรากำลังจับตาดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด"
ซึ่งนั่นคือท่าทีทั้งหมดจาก Fed ที่มีต่อ AI ในปัจจุบัน
ภาวะ 'สัญญาณขัดแย้ง' ทางเศรษฐกิจ
ปัจจุบัน AI กำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคในทิศทางที่ "ขัดแย้งกันเอง" อย่างชัดเจน
- แรงส่งด้านบวก: ตลาดหุ้นคึกคักสุดขีดเพราะความคาดหวังในนวัตกรรม AI บวกกับเม็ดเงินลงทุนมหาศาลที่กำลังทุ่มลงไปในเทคโนโลยีนี้ เป็นแรงขับเคลื่อนอุปสงค์โดยรวมของเศรษฐกิจ (ซึ่งปกติ Fed ต้องขึ้นดอกเบี้ยสกัด)
- แรงฉุดด้านลบ: ในทางกลับกัน ตลาดแรงงานกลับส่งสัญญาณ "ชะลอตัว" ทั้งจากการเลิกจ้างและความลังเลอย่างเห็นได้ชัดที่จะจ้างงานใหม่ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทต่างๆ กำลัง "รอดูท่าที" ว่า AI จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงความต้องการตลาดแรงงานในอนาคตอย่างไร
เมื่อสัญญาณทางเศรษฐกิจขัดแย้งกันเช่นนี้ (ตลาดหุ้นคึกคัก แต่ตลาดจ้างงานซบเซา) จึงยังไม่มีนัยยะที่ชัดเจนต่อการดำเนินนโยบายทางการเงิน
สุดท้าย การ "ไม่ทำอะไรเลย" นอกจาก "จับตาดูอย่างใกล้ชิด" จึงดูเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลที่สุดสำหรับ Fed ในสถานการณ์ปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ท่าทีดังกล่าวอาจไม่สามารถคงอยู่ได้นาน ผลกระทบของ AI มีทั้งมิติ "เชิงปริมาณ" และ "เชิงคุณภาพ"
หากผลกระทบกลายเป็น "รุนแรง" ไม่ว่าจะในทางใดก็ตาม ภารกิจหลักของ Fed ในการรักษาสมดุลระหว่าง "การจ้างงานสูงสุด" และ "เงินเฟ้อที่ระดับ 2%"
อาจกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบาก หรือ เรียกได้ว่า "ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้เลย (Impossible Mission)"
ใน "สถานการณ์ที่ดีที่สุด" (Best Case) หาก AI พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นเทคโนโลยีที่พลิกโฉมโลกเทียบเท่าการมีไฟฟ้าใช้
นั่นหมายถึงผลิตภาพ (Productivity) ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งจะนำไปสู่ "เงินเฟ้อที่ลดลง" (จากต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง)
แต่ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้ "R-Star" หรืออัตราดอกเบี้ยตามธรรมชาติสูงขึ้น การประคองเศรษฐกิจในภาวะนี้ถือเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างมากอยู่แล้ว
แต่ผลกระทบที่รุนแรงนั้น อาจแปรเปลี่ยนเป็น "สถานการณ์เลวร้าย" (Bad Case) ได้อย่างง่ายดายเช่นกัน
1. การแทนที่แรงงานฉับพลัน: การปฏิวัติ AI อาจไม่ได้ค่อยๆ ทำให้แรงงานมีประสิทธิภาพขึ้น แต่กลับ "ทดแทน" แรงงานบางประเภทอย่างฉับพลันและเป็นวงกว้าง
แม้คำทำนายเช่นนี้จะเคยเกิดขึ้นและผิดพลาดในอดีต แต่ต้องยอมรับว่า AI ดูเหมือนจะมุ่งเป้าไปที่การ "ทนแทนแรงงาน" โดยตรง และอาจมาถึงเร็วกว่าและรุนแรงกว่านวัตกรรมใดๆ ที่ผ่านมา
หากเกิดภาวะว่างงานสูง ค่าจ้างลดลง และความเหลื่อมล้ำพุ่งทะยาน สังคมย่อมกดดันให้ Fed เข้ามาแก้ไข แต่เครื่องมือเดียวที่ Fed มีคือ "อัตราดอกเบี้ยระยะสั้น" ซึ่ง "ไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง" เหล่านี้ได้
2. การผูกขาดทางเทคโนโลยี: อีกหนึ่งความเสี่ยงคือการที่อำนาจในการกำหนดราคาตกอยู่ในมือของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่เพียงไม่กี่รายที่นำเทคโนโลยีไปใช้ก่อน
ซึ่งในประเด็นนี้ Fed ทำได้เพียงแค่ "ยืนดู" เท่านั้น
ปัญหา 'ใหญ่เกินกว่า' Fed จะรับมือ
AI ไม่เพียงส่งผลต่อโครงสร้างระยะยาว แต่ยังอาจ "ขยาย" ความผันผวนของวัฏจักรธุรกิจระยะสั้นให้รุนแรงขึ้น (เช่น การเลิกจ้างที่เร็วขึ้นในภาวะถดถอย)
หรือทำให้ระบบการเงินที่พึ่งพาโมเดล AI เกิดความผิดพลาดรุนแรงเมื่อเจอกับวิกฤตที่ไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต
บทสรุปที่ชัดเจนในขณะนี้คือ การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียว "ไม่เพียงพอ" อย่างแน่นอน
ประเด็นนี้ "ใหญ่เกินกว่า" ที่ธนาคารกลางแห่งใดจะรับมือได้โดยลำพัง การรับมือความท้าทายนี้ต้องอาศัย "นโยบายระดับมหภาค"
ทั้งเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Safety Net) ที่แข็งแกร่ง, การกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้า, การปฏิรูปภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และการปฏิรูประบบการศึกษาเพื่อยกระดับทักษะแรงงาน
หากสถานการณ์เลวร้ายลง Fed อาจต้องรับแรงกดดันมหาศาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ความจริงก็คือ สถานการณ์นี้คือความท้าทายที่ต้องการ "ผู้นำทางการเมือง" ที่มีความกล้าหาญในการตัดสินใจและเผชิญหน้ากับมันอย่างจริงจัง


