เศรษฐกิจไทยป่วยเรื้อรัง! ดร.สมประวิณ ชี้ระเบิดหนี้เริ่มนับถอยหลัง ถ้า ‘ปฏิรูป’ ไม่เกิดใน 10ปีประเทศอาจล่มสลาย
นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง เตือนสัญญาณอันตราย เศรษฐกิจไทยป่วยหนักจากโรคร้ายเรื้อรังชื่อว่า "ไร้การปฏิรูป" พร้อมเผยระเบิดเวลาลูกใหญ่ "หนี้ภาครัฐ-หนี้ครัวเรือน" กำลังนับถอยหลังสู่จุดระเบิด หากไม่เร่งปฏิรูปจริงจัง ภายใน 10 ปี ไทยอาจเผชิญวิกฤติครั้งใหญ่ทั้งเศรษฐกิจและสังคม
KEY
POINTS
- นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง เตือนสัญญาณอันตราย เศรษฐกิจไทยป่วยหนักจากโรคร้ายเรื้อรังชื่อว่า "ไร้การปฏิรูป"
- เผยระเบิดเวลาลูกใหญ่ "หนี้ภาครัฐ-หนี้ครัวเรือน" กำลังนับถอยหลังสู่จุดระเบิด
- หากไม่เร่งปฏิรูปจริงจัง ภายใน 10 ปี ไทยอาจเผชิญวิกฤติครั้งใหญ่ทั้งเศรษฐกิจและสังคม
ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนเส้นบางๆ ระหว่าง "ความทรงตัว" กับ "ความพังทลาย" แม้หลายฝ่ายยังเชื่อว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแรง แต่คำวินิจฉัยของผู้เชี่ยวชาญต่อเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน มิใช่เพียงอาการเจ็บป่วยแบบฉับพลัน แต่เป็นการเผชิญหน้ากับโรคประจำตัวร้ายแรงที่สั่งสมมานาน และกับดักที่ผูกมัดประเทศไว้ด้วยความไม่เด็ดขาดในการลงมือปฏิบัติ
กับดักที่แท้จริง: ความล้มเหลวในการปฏิรูป
เมื่อถูกถามถึงปัญหาหลักของเศรษฐกิจไทย ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ นักเศรษฐศาสตร์ นักการเงิน ชี้ให้เห็นว่า แม้หลายคนจะกล่าวถึง "กับดักรายได้ปานกลาง" แต่ต้นตอของปัญหานั้นคือการที่ประเทศไม่สามารถดำเนินการ "ปฏิรูป" ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดคุยกันมานานกว่า 10 ปี หรือ 20 ปีแล้ว ปัญหาในวันนี้ไม่ใช่ว่า "ไม่รู้" ว่าต้องทำอะไร แต่เป็น "รู้แล้วแต่ทำไม่ได้"
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือเรื่องของ "ความ commitment" หรือความมุ่งมั่น เด็ดขาด ของผู้นำ การปฏิรูปเป็นเรื่องของ collective action หรือการดำเนินการร่วมกัน เป็นเหมือนการตัดสินใจร่วมกันของสังคม และหัวใจของการปฏิรูปคือ "การจัดสรรผลประโยชน์ใหม่ในสังคม" กระบวนการนี้มีความเสี่ยง เนื่องจากอาจทำให้คนหนึ่งถูกใจและอีกคนไม่ถูกใจ
อย่างไรก็ตาม ดร.สมประวิณ เชื่อว่า ท้ายที่สุดแล้วทุกคนจะได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น แต่ในช่วงระยะสั้นเท่านั้นที่อาจมีบางคนได้หรือบางคนเสีย
ในปัจจุบัน ถือเป็นโอกาสที่ดี เพราะคนในสังคมเริ่ม "พ้องต้องกัน" แล้วว่าจำเป็นต้องมีการปฏิรูปอย่างจริงจัง หากผู้นำที่ลุกขึ้นมามี commitment ที่ชัดเจน และชูประเด็นเรื่องการปฏิรูป จะได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนค่อนข้างมาก และจะทำให้ล้อของการปฏิรูปสามารถเริ่มเคลื่อนหมุนไปได้
โรคร้ายแรงเรื้อรัง
คำถามที่ท้าทายที่สุดคือ วันนี้เราสามารถเรียกเศรษฐกิจไทยว่า "วิกฤติ" ได้แล้วหรือยัง ?
ดร.สมประวิณ เปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยกับสุขภาพของร่างกาย เศรษฐกิจไทยวันนี้ไม่ได้กำลัง "ติดเชื้อ" แต่เปรียบเสมือนกำลังเป็น "โรคร้ายแรงเรื้อรัง" หากโรคร้ายแรงเรื้อรังนี้สามารถนำไปสู่ "การเสียชีวิต" ได้ และเราเรียกการเสียชีวิตนั้นว่าวิกฤติ คำตอบคือ "วันนี้เศรษฐกิจไทยเป็นวิกฤติแล้ว"
ความเสี่ยงระยะสั้น: ระเบิดหนี้ที่กำลังนับถอยหลัง
เมื่อมองไปยังความเสี่ยงในระยะสั้น ในปี 2569 ดร.สมประวิณชี้ว่าความเสี่ยงส่วนใหญ่เกิดจาก "ในประเทศเป็นหลัก" และเรื่องเดียวที่ใหญ่ที่สุดและน่ากังวลที่สุดคือ "เรื่องหนี้"
หนี้ครัวเรือนที่เคยบวมขึ้นไปเรื่อยๆ อาจเริ่มชะลอตัวหรือทรงตัว แต่ไม่ใช่เพราะหนี้ถูกใช้คืน ปัญหาหนี้กำลังจะลามจากภาระ "ส่วนบุคคล" เป็น "สาธารณะ" เนื่องจากกลไกเศรษฐกิจไม่ทำงานให้ใช้หนี้ได้ รัฐจึงต้องเข้ามาใช้จ่าย ทำให้เกิดภาระทางการคลังที่สูงขึ้น
นี่คือความเสี่ยงที่สำคัญ ดร.สมประวิณ ระบุว่า เรากำลังอยู่ในการนับถอยหลัง ที่ต้องแข่งกับเวลา เพราะหนี้ก้อนนี้คือ ระเบิดลูกอยู่แล้ว การปฏิรูปที่ขับเคลื่อนเร็วขึ้นเท่านั้นที่จะเป็นบันไดข้ามชนวนความเสี่ยงนี้ได้
การเยียวยาและปฏิรูป
แนวทางการแก้ไขปัญหาแบ่งออกเป็น 2 เฟสหลักคือระยะสั้นและระยะยาว
1. ระยะสั้น: การเยียวยา (Healing)
เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากการเปลี่ยนแปลงที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สิ่งที่จำเป็นในระยะสั้นคือ "การเยียวยา" แต่ไม่ควร "กระตุ้น" เศรษฐกิจ เพราะการกระตุ้นในวันนี้เปรียบเสมือน "กระสุนที่อยู่แล้วหมด" ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร
มาตรการอย่าง "คนละครึ่ง" ถูกตีความว่าเป็น การเยียวยา ซึ่งมีจุดประสงค์หลักคือการช่วยให้ผู้มีฐานะเปราะบาง (คนจน) มีเงินไปกิน เพื่อให้เศรษฐกิจ "ไม่ทรุด" ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อสร้าง multiplier effect หรือต้องการให้เกิดการใช้จ่ายเพิ่ม การเยียวยาจึงยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็น
2. ระยะยาว: การขับเคลื่อนการปฏิรูป (Reform)
สิ่งที่ควรทำในระยะยาวคือ "ปฏิรูป" ปัญหาที่แท้จริงคือเรื่องการสร้างขีดความสามารถ (Capacity Building) และการปฏิรูป ดร.สมประวิณย้ำว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้อง "จุดล้อหมุน จุดไฟ จุดประกาย ขับเคลื่อนการปฏิรูปกันอย่างเต็มที่" หากประเทศล้มเหลวในการทำเช่นนั้น
ดร.สมประวิณ ได้ส่งสัญญาณเตือนอย่างหนักแน่นว่า ภายในอีก 10 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจไทยอาจประสบความเสียหายครั้งใหญ่ และสุดท้ายจะกลายเป็นวิกฤตทางสังคม.


