posttoday

LHFG เปิดแผนปี 68 ปักธงสินเชื่อโต 7-8% ลุยงาน FA ดันธุรกิจหลักทรัพย์พลิกกำไร

26 กุมภาพันธ์ 2568

LHFG กางแผนธุรกิจปี 68 วางเป้าสินเชื่อรวมโต 7-8% เน้นขยายสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อ SME คุม NPL ไม่เกิน 3% NIMอยู่ที่ 2.2-2.3% ส่วนธุรกิจหลักทรัพคาดพลิกกำไร หันมาเน้นธุรกิจอื่นที่มิใช่รายได้ค่าหน้านาย โดยเฉพาะงานที่ปรึกษาการลงทุน ชดเชยธุรกิจค่านายหน้าซบเซา

ในสภาวะที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอน และมีความท้าทาย จากนโยบายการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ทำให้เกิดสงครามการค้า นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยด้านอื่นๆ ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจจีนเติบโตลดลงและมีปัญหาอสังหาริมทรัพย์ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (climate change) รวมทั้งในบางประเทศยังมีอัตราเงินอยู่ในระดับสูง 

เช่นเดียวกับเศรษฐกิจไทย ที่ยังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงทั้งสงครามการค้า สินค้าจีนทะลักเข้าไทย และสงครามในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยมีปัจจัยสับสนุนการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นนโยบายรัฐหนุน ท่องเที่ยวฟื้นตัว การบริโภคเติบโต จากเงินดิจิทัล เฟส 3 ดังนั้น บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ LHFG จึงประมาณเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะเติบโต 2.6% 

นายฉี ชิง-ฟู่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ LHBANK ในเครือ LHFG เปิดเผยว่า จากสภาวะเศรษฐกิจโลกและไทยในปัจจุบันที่ยังมีความท้าทาย ธนาคารตั้งเป้าหมายสินเชื่อรวมในปี 2568 เติบโต 7-8% จากปีก่อน โดยกลยุทธ์ปี 2568 เน้นขยายสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อ SME

ทั้งนี้ สินเชื่อธุรกิจตั้งเป้าหมายเติบโต 7% จากปีก่อน มุ่งเน้นการขยายสินเชื่อธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพ รวมถึงบริการ Trade Finance และ FX เพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) โดยใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของ CTBC Bank ในการเข้าถึงฐานลูกค้าที่มีศักยภาพ พร้อมนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อและบริการทางการเงิน

สำหรับสินเชื่อ SME ตั้งเป้าหมายเติบโต 16% จากปีก่อน โดยธนาคารให้ความสำคัญกับการสนับสนุนสินเชื่อ SME ผ่านการพัฒนา Product Program ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า และขยายช่องทางการให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าในพื้นที่เศรษฐกิจ EEC ซึ่งเป็นศูนย์กลางการลงทุนและอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศ โดยจะเปิดสาขาอมตะซิตี้ ชลบุรี (Business Branch) ในช่วงต้นไตรมาส 2/2568

ขณะที่ลูกค้ารายย่อย ธนาคารมุ่งเน้นการขยายตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย ตั้งเป้าหมายเติบโต 20% จากปีก่อน โดยปีนี้จะเน้นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงระดับราคาบ้าน 20-50 ล้านบาท มากขึ้น จากเดิมเป็นลูกค้าที่ซื้อบ้านระดับราคา 3-20 ล้านบาท ซึ่งหากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มในการผ่อนคลายมาตรการ LTV จะทำให้กลุ่มลูกค้าที่ซื้อบ้านระดับราคา 20-50 ล้านบาท กลับมาซื้อบ้านเพิ่มเติม ทำให้ธนาคารมองเห็นถึงโอกาสดังกล่าว

นอกจากนี้ ในส่วนของลูกค้ารายย่อย ยังเน้นการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากใหม่ๆ เช่น เงินฝากอัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้า Wealth และเงินฝากสกุลเงินตราต่างประเทศ (FCD) รวมถึงการเพิ่มฐานลูกค้าผ่านกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและ Ecosystem ของพันธมิตร

ประกอบกับธนาคารให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable Banking) โดยมีแผนสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของลูกค้าผ่านการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม และสินเชื่อเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียว ตั้งเป้าหมาย 3,000 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 2,200 ล้านบาท 

สำหรับหนี้เสียที่มิก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) ไม่เกิน 3% จากปีก่อน อยู่ที่ 2.34% โดยยอมรับ NPL ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น และ มีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ซึ่งที่ผ่านมาในช่วงโควิด-19 ธนาคารมีการตั้งสำรองสูงมาอย่างต่อเนื่อง โดยปีก่อนธนาคารตั้งสำรองไปทั้งสิ้น 1,283 ล้านบาท และ มี coverage ratio สูงถึง 214% ซึ่งในปีนี้ธนาคารคาดจะตั้งสำรองลดลงจากปีก่อน 

ในส่วนอัตรากำไรสุทธิจากดอกเบี้ย (Net Interest Margin) ปีนี้ อยู่ที่ 2.2-2.3% และการเติบโตของรายได้หลัก(Core Income) ปีนี้ไว้ที่ 10-15% และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ (Cost/Income Ratio) ปีนี้ไม่เกิน 50% 

นายกานต์ อรรถธรรมสุนทร กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) หรือ LH Securities กล่าวว่า ธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัทในปี 2568 คาดว่าจะพลิกกลับมามีกำไร จากปีก่อนที่ขาดทุน 51 ล้านบาท โดยในปีนี้ไม่โฟกัสธุรกิจนายหน้า แต่จะเน้นสร้าง Passive income จากธุรกิจอื่นที่มิใช่รายได้ค่าหน้านาย เช่น รายได้ดอกเบี้ยจาก Margin Loan รายได้เงินปันผลรับ และรายได้จากค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ และที่ปรึกษาการลงทุน โดยเฉพาะการให้บริการให้คำปรึกษาทำดีล M&A 

“ปี 2567 มีการตั้งสำรองฯ หนี้สูญกลุ่มลูกค้าที่บริษัทให้มาร์จิ้นออกไป ทำให้ธุรกิจหลักทรัพย์มีผลขาดทุน แต่ยอมรับว่าธุรกิจหลักทรัพย์โดยภาพรวมทั้งอุตสาหกรรมอยู่ในภาวะลำบาก ตั้งแต่ปีที่แล้วถึงต้นปีที่ผ่านมายังไม่เห็นการฟื้นตัว จากภาวะความผันผวนของปัจจัยต่างๆ และตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลง ทำให้มูลค่าการซื้อขายยังลดลงจากปีก่อน” นายกานต์ กล่าว

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ LH Fund กล่าวว่า ปี 2568 บริษัทมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานสู่การเป็นบริษัทหลักทรัพย์ จัดการกองทุนชั้นนำ โดยชูกองทุนเรือธงที่มีจุดเด่นด้านผลการดำเนินงาน พร้อมเน้นการลงทุนที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นรองรับทุกสภาวะตลาด และรักษาคุณภาพของผลการดำเนินงานของกองทุนให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและตอบโจทย์เป้าหมายทางการเงินของนักลงทุน

โดย LH Fund จะคัดสรรกองทุนที่มีผลการดำเนินงานยอดเยี่ยม (Best-in-Class) ทั้งกองทุนรูปแบบ Feeder Fund และกองทุนที่ลงทุนตรงในหุ้นต่างประเทศ พร้อมกลยุทธ์ใหม่ในการลงทุนสู่โลกยุคเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) เพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโตให้กับนักลงทุน และเตรียม IPO กองทุนหุ้นและกองทุนตราสารหนี้ที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของโลกจากระบบเศรษฐกิจแบบโลกาภิวัตน์สู่ระบบเศรษฐกิจหลายขั้ว (Multi-polar Model) รวมทั้งเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ด้วยกองทุนที่เชื่อมโยงกับดัชนีความผันผวน (Volatility Index) เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนในทุกสถานการณ์ตลาด 

สำหรับกองทุนส่วนบุคคลจะขยายฐานลูกค้าด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการการลงทุนที่ตอบโจทย์เฉพาะราย ในส่วนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) บริษัทได้พัฒนาระบบ Life Path อย่างต่อเนื่อง ซึ่งระบบนี้จะช่วยปรับพอร์ตการลงทุนของสมาชิกโดยอัตโนมัติตลอดระยะเวลาการเป็นสมาชิก PVD 

ขณะที่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) บริษัทมีแผนเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินผ่านการเติบโตแบบ organic และ inorganic growths และมีแผนซื้อทรัพย์สินใหม่ควบคู่กับการปรับทรัพย์สินในพอร์ตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่นักลงทุนอย่างยั่งยืน

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา