posttoday

เงินบาทวันนี้35.85-36เปิดเช้าแข็งขึ้นเล็กน้อย35.88บาท/ดอลลาร์

13 กุมภาพันธ์ 2567

Krungthai GLOBAL MARKETS เผยเงินวันนี้ 35.85 - 36 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนรู้ผลเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ โดยเปิดเช้าแข็งขึ้นเล็กน้อยแทบไม่ขยับอยู่ที่ 35.88 บาทต่อดอลลาร์ แต่เงินบาทเริ่มกลับมาผันผวนตามฝั่งเอเชียมากขึ้น

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่ากรอบเงินบาทวันนี้จะอยู่ที่ระดับ 35.85-36.00 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ และประเมินกรอบในช่วง 35.75-36.15 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ

สำหรับค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ  35.88 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  35.89 บาทต่อดอลลาร์

โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 35.84-35.95 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะปรับฐาน หลังราคาทองคำทยอยปรับตัวลดลงสู่โซนแนวรับระยะสั้น ตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อย่างไรก็ดี เงินบาทก็ไม่ได้อ่อนค่าไปมาก เนื่องจากโดยรวมเงินดอลลาร์ก็แกว่งตัวในกรอบ เพื่อรอลุ้นปัจจัยใหม่ๆ โดยเฉพาะ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในคืนวันอังคารนี้ (ตามเวลาประเทศไทย)

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท Krungthai GLOBAL MARKETS ยังคงประเมินว่า เงินบาทมีความเสี่ยงที่จะผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านสำคัญแถว 36.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ โดยภาพดังกล่าวอาจเกิดขึ้นในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในคืนนี้ได้เช่นกัน นอกจากนี้ ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง หลังบรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมเริ่มกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น ซึ่งก็สามารถกดดันให้นักลงทุนต่างชาติพลิกกลับมาทยอยขายหุ้นไทยได้

อย่างไรก็ดี หากเงินบาทผันผวนอ่อนค่าทะลุระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้จริง เราประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าต่อเข้าใกล้โซน 36.15 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากบรรดาผู้เล่นในตลาด ทั้งผู้ส่งออก รวมถึงผู้เล่นต่างชาติที่มีสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ก็อาจทยอยขายเงินดอลลาร์หรือขายทำกำไรสถานะ Short THB ในช่วงดังกล่าวซึ่งจะเป็นโซนแนวต้านระยะสั้นถัดไป 

อนึ่ง ในช่วงนี้ เงินบาทเริ่มกลับมาผันผวนสอดคล้องกับบรรดาสกุลเงินในฝั่งเอเชียมากขึ้น โดยเฉพาะ เงินหยวนจีน (CNY) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทำให้ต้องจับตาทิศทางของสกุลเงินฝั่งเอเชียดังกล่าวเช่นกัน โดยประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินหยวนจีนอาจเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากทางการจีนได้พยายามประคองเงินหยวนในช่วงที่ผ่านมาอย่างชัดเจน

ขณะที่เงินเยนญี่ปุ่น กลับเป็นสกุลเงินที่เราประเมินว่า อาจมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าได้บ้าง ตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOJ ซึ่งอาจย้ำจุดยืนไม่รีบขึ้นดอกเบี้ย หรือ ขึ้นดอกเบี้ย น้อยกว่าที่ตลาดกำลังประเมินอยู่ (ล่าสุด ตลาดมองว่า BOJ อาจขึ้นดอกเบี้ยได้ราว 3-4 ครั้งในปีนี้)

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มเผชิญแรงขายทำกำไร โดยเฉพาะแรงขายบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ (the Magnificent 7) อาทิ Microsoft -1.3%, Amazon -1.2% หลังจากที่หุ้นกลุ่ม The Mag. 7 ได้ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในวันอังคาร ทำให้ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม แม้ว่าโดยรวมรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ในไตรมาส 4 ที่ทยอยประกาศออกมาจะดูสดใสก็ตาม 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นกว่า +0.54% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม L’ Oreal +2.4% และ LVMH +1.8% ที่ยังได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการที่ออกมาสดใส ขณะเดียวกัน บรรดาหุ้นกลุ่มการเงินก็รีบาวด์ขึ้นบ้าง หลังเผชิญแรงขายในช่วงก่อนหน้า จากรายงานผลประกอบการที่ออกมาต่ำกว่าคาด ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ และยูโรโซน รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก (เฟด, BOE และ ECB)

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะปรับตัวขึ้นบ้าง ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ย ขณะเดียวกัน การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบก็มีส่วนช่วยหนุนบอนด์ยีลด์ ทว่าบรรยากาศระมัดระวังตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ทำให้โดยรวม บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ไม่ได้ปรับตัวขึ้นจนทะลุระดับ 4.20% และ ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 4.18%

อย่างไรก็ดี ประเมินว่า ยังมีโอกาสที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นต่อจนทะลุระดับ 4.20% ได้ไม่ยาก หากผู้เล่นในตลาดทยอยลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยหลายครั้งของเฟด ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งและดีกว่าคาด หรือ อัตราเงินเฟ้อที่ชะลอลงช้ากว่าคาด ดังนั้น เราจึงขอเน้นย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip เพื่อลดความเสี่ยงการขาดทุนเมื่อมองภาพผลตอบแทนโดยรวม หรือ Total Return ซึ่งหากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สามารถปรับตัวขึ้น ทะลุระดับ 4.20% ไปได้ ก็จะมีความน่าสนใจในการทยอยเข้าซื้อเป็นอย่างมาก 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์โดยรวมเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ sideways โดยเงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่า เฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ย รวมถึงบรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ก็ยังไม่รับปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ที่ชัดเจน จนกว่าจะรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 104.1 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104-104.3 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ย่อตัวลงสู่โซนแนวรับระยะสั้น 2,020-2,030 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่รีบาวด์ขึ้นบ้างและแกว่งตัวใกล้ระดับ 2,030 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ ในเชิงเทคนิคัล การปรับตัวลดลงของราคาทองคำในช่วงนี้ ได้เพิ่มความเสี่ยงที่ราคาทองคำอาจปรับตัวลดลงต่อ เร็วและแรง เหมือนในช่วงปลายเดือนกันยายนได้ โดยหากราคาทองคำปรับฐานต่อเนื่อง ก็อาจย่อตัวลงทดสอบโซนแนวรับถัดไปแถว 2,015 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และจะมีโซน 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นแนวรับหลักเชิงจิตวิทยา