posttoday

หัวเว่ย ดันโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ เดินหน้าเป้าหมาย Net-zero

28 สิงหาคม 2566

หัวเว่ยนำทัพดันโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ พร้อมตั้งเป้าขับเคลื่อนประเทศสู่ความทัดเทียมในการเข้าถึงพลังงานไฟฟ้า ด้วยแนวทาง Energy as a Service สู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608

ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ หรือ “สมาร์ทกริด” นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นของไทยเพื่อให้ก้าวทันยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน (Energy Disruption)  ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มสัดส่วนของพลังงานทางเลือกที่สามารถทดแทนพลังงานฟอสซิลที่กำลังจะหมดไปในอนาคต  ยังช่วยผลักดันให้โลกก้าวเข้าสู่ยุคการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้อย่างแข็งแกร่งที่สุด

หัวเว่ย ดันโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ เดินหน้าเป้าหมาย Net-zero

ในงานสัมมนา “แนวทางการขับเคลื่อนระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ของประเทศไทย ในยุคความท้าทายด้านพลังงาน (Energy Disruption)” ดร. สุธี ไตรวิวัฒนา เจ้าหน้าที่กลยุทธ์กลุ่มธุรกิจดิจิทัลพาวเวอร์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เผย 4 กลยุทธ์ที่จะช่วยพลิกโฉมประเทศไทยสู่พลังงานแห่งอนาคต ได้แก่

1. เตรียมโครงสร้างพื้นฐานให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน การสื่อสารโทรคมนาคม รวมไปถึงโครงสร้างด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่จะเข้ามาจัดการระบบโครงข่ายอัจฉริยะให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในทุกภาคส่วน

2. สร้างกลไกตลาดที่สมบูรณ์ และสมเหตุสมผล ทั้งด้านต้นทุน ราคา ต้องมีการจัดการให้เหมาะสมอย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดความยุติธรรมทั้งในแง่ราคาและการนำไปใช้งานกับธุรกิจประกอบการและภาคประชาชนอย่างแท้จริง

3. กฎระเบียบที่ส่งเสริมให้สมาร์ทกริดเกิดขึ้นได้จริง จากการผลักดันและสนับสนุนของภาครัฐและผู้ให้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะจากภาคเอกชน

4. การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสมาร์ทกริด ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบโครงข่ายสมาร์ทกริด อันจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพการแข่งขันระบบเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมของประเทศ

หัวเว่ย ดันโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ เดินหน้าเป้าหมาย Net-zero

นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้ลงทุนเพิ่มด้านธุรกิจพลังงานดิจิทัล โดยให้บริการภาคธุรกิจ และภาคประชาชนด้วยโซลูชันต่าง ๆ  เพื่อพัฒนาระบบโครงข่ายสมาร์ทกริดของไทยให้มีรากฐานที่แข็งแกร่ง ซึ่งประกอบไปด้วย

1. การตอบสนองด้านโหลด (Demand Response) เป็นเครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับระบบไฟฟ้าด้วยการปรับพฤติกรรมและรูปแบบการใช้ไฟฟ้า ทำให้ลดภาระการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาสูงสุด นำไปสู่การลดต้นทุนในการผลิตและสำรองไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลา

2. ระบบพยากรณ์ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Forecast) จะต้องแม่นยำ และมีประสิทธิภาพ

3. การพัฒนาระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้าให้มีความมั่นคง มีเสถียรภาพและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับระบบไฟฟ้า (Grid Modernization) เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งการพัฒนาระบบรวมไปถึงการพัฒนาระบบการกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) และการบูรณาการยานยนต์ไฟฟ้า (EV Integration) เพื่อช่วยบรรเทาความต้องการใช้งานของระบบไฟฟ้าจากปริมาณยานยนต์ไฟฟ้าที่มีมากขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ หากประเทศไทยมีรากฐานโครงข่ายสมาร์ทกริดที่มั่นคง และสามารถยกระดับประเทศไปสู่การใช้โซลูชันในรูปแบบ Energy as a Service ในอนาคต ธุรกิจในทุกภาคส่วนจะสามารถเข้าถึงระบบไฟฟ้าได้โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายล่วงหน้า รวมทั้งไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องการซ่อมบำรุง  มีความยืดหยุ่นด้านพลังงาน

เราจะสามารถผลักดันประเทศให้ก้าวสู่ “ความทัดเทียมในการเข้าถึงพลังงานไฟฟ้า”  รวมถึงประชาชนสามารถใช้ไฟฟ้าได้ในราคาที่สมเหตุสมผลมากขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้ไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 

ข่าวล่าสุด

ศรชล.แจง ไม่ได้ปิดอ่าวไทย แค่คุมเรือไทยงดส่งน้ำมัน-ยุทธปัจจัยเข้ากัมพูชา