posttoday

ธปท. เผย ครม. ไฟเขียวเป้าหมายเงินเฟ้อ ปี 66 ที่ 1-3% มั่นใจเป็นระดับเหมาะสม

04 มกราคม 2566

ธปท. เปิดเผยว่า ครม. อนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงินปี 2566 หลังกระทรวงการคลัง และ กนง. เห็นชอบร่วมกัน ในการกำหนดกรอบเงินเฟ้อปีนี้ ที่ระดับเดิม 1-3% เชื่อมั่นเป็นระดับที่เหมาะสม พร้อมมองว่าเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้กลางปีนี้

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ แบงก์ชาติ ประกาศ เป้าหมายของนโยบายการเงิน ปี 2566 หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี 2566 แล้วเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 ภายหลังความตกลงร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามที่บัญญัติในมาตรา 28/8 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2551

 

โดยระบุว่า จากปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมา และแนวโน้มในระยะข้างหน้า แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 จะคลี่คลายลง แต่เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังได้รับผลกระทบอย่างมาก จากการลดลงของอุปทานพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงการหยุดชะงักของห่วงโซ่การผลิตโลก (global supply chains) จึงส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อไทยในช่วงที่ผ่านมา ปรับสูงขึ้นจากแรงกดดันด้านอุปทาน (cost-push shocks) เป็นสำคัญ

 

อย่างไรก็ตาม แม้มีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อไทย ได้แก่ (1) ราคาพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ในประเทศที่ปรับเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลก และ (2) การส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นของผู้ประกอบการไปยังราคาสินค้าและบริการ  แต่แบงก์ชาติคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าจะปรับลดลง และกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้ในปี 2566 เมื่อแรงกดดันด้านอุปทานดังกล่าวทยอยคลี่คลายลง 

 

แบงก์ชาติยังระบุอีกว่า อัตราเงินเฟ้อไทยในระยะปานกลางยังคงมีความไม่แน่นอนสูง จากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะภูมิทัศน์ด้านพลังงาน และภูมิรัฐศาสตร์ การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ (deglobalization) และการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวที่อาจเกิดเร็วขึ้น

 

โดยครั้งนี้ กระทรวงการคลัง และ กนง. ตกลงร่วมกันในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลางสำหรับปี 2566 ไว้ที่ 1-3% ซึ่งเป็นเป้าหมายนโยบายการเงินด้านเสถียรภาพราคาสำหรับระยะปานกลาง และเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2566

 

สำหรับการกำหนดเป้าหมายที่ 1-3% ดังกล่าวยังมีความเหมาะสมเนื่องจาก (1) การคงเป้าหมายเป็นการแสดงถึงความตั้งใจที่จะรักษาเสถียรภาพราคา อันจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณชน และช่วยยึดเหนี่ยวอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางให้อยู่ในกรอบเป้าหมาย 

 

(2) ในช่วงเวลาที่อัตราเงินเฟ้อมีความผันผวน และไม่แน่นอนสูง การปรับเป้าหมายนโยบายอาจสร้างความสับสนต่อสาธารณชนเกี่ยวกับแนวนโยบายในระยะข้างหน้า     และ (3) การกำหนดเป้าหมายแบบช่วงที่มีความกว้าง 2% มีความยืดหยุ่นเพียงพอรองรับความผันผวนของอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในระยะปานกลาง

 

รวมถึงช่วยให้การดำเนินนโยบายการเงิน เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาในระยะปานกลางให้สามารถดำเนินการควบคู่ไปกับการดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินภายใต้สถานการณ์ที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง และปัจจัยที่ส่งผลต่อพลวัตเงินเฟ้อยังมีความไม่แน่นอนสูง

 

โดยกระทรวงการคลัง และ แบงก์ชาติ จะร่วมมือในการดำเนินนโยบายการคลัง และนโยบายการเงินให้มีความสอดประสาน และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้สามารถบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว และทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวอย่างมั่นคง และยั่งยืน

 

โดยมุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภาพ และสร้างรายได้ให้กับประชาชน กนง. มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินนโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา และดูแลให้อัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางอยู่ในกรอบเป้าหมาย      ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

 

อีกทั้งมีข้อตกลงในการติดตาม และรายงานผลการดำเนินนโยบาย รวมถึงการหารือร่วมกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนโยบายการเงินกระทรวงการคลัง และ แบงก์ชาติ จะหารือร่วมกันเป็นประจำ และ/หรือเมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นตามที่ทั้งสองหน่วยงานจะเห็นสมควร เพื่อบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนการดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินเป็นไปในทิศทางที่สอดประสานกัน

 

ด้าน กนง. จะจัดทำรายงานผลการดำเนินนโยบายการเงินทุกครึ่งปี ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับ      (1) การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมา (2) แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป และ (3) การคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจในอนาคต เพื่อแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทราบ

 

รวมถึงจะเผยแพร่รายงานนโยบายการเงินทุกไตรมาสเป็นการทั่วไป อันจะช่วยเพิ่มการรับรู้ของสาธารณชนถึงแนวทางการตัดสินนโยบายการเงินของ กนง. ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใส และประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต

 

นอกจากนี้ยังมีข้อตกลงในการออกจดหมายเปิดผนึกของ กนง. ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายนโยบายการเงิน      

 

โดย กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะสูงสุดในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 และมีแนวโน้มทยอยปรับลดลงกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายนโยบายการเงินในปี 2566     แต่ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยต่าง ๆ ภายนอกประเทศ การส่งผ่านต้นทุนที่อาจเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ด้านพลังงานและภูมิรัฐศาสตร์ ที่จะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเงินเฟ้อในอนาคตได้     

 

ดังนั้น กนง. จะติดตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อดังกล่าว รวมถึงประเมินผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่มีต่อพลวัตเงินเฟ้อไทยในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ หากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

 

โดยจะชี้แจงถึง (1) สาเหตุของการเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายดังกล่าว (2) แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมาและในระยะต่อไปเพื่อนำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่เป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม และ (3) ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่เป้าหมาย

 

นอกจากนี้ กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทุก 6 เดือนหากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยตามแนวทางข้างต้นยังคงอยู่นอกกรอบเป้าหมาย และจะรายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาเป็นระยะตามสมควร อีกทั้งมีข้อตกลงในการแก้ไขเป้าหมายนโยบายการเงินหากมีเหตุจำเป็นในกรณีที่มีเหตุอันสมควรหรือจำเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ กนง. อาจตกลงร่วมกัน เพื่อแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงินได้ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา