posttoday

CardX มุ่งดึงคนรุ่นใหม่ ขยายกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เล็งเข้าตลาดหุ้นปี 2025

23 พฤศจิกายน 2565

หลัง CardX รับโอนลูกค้าจากธนาคารไทยพาณิชย์ที่ 1 แสนล้านบาทแล้ว จะมุ่งเพิ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เน้นใช้ AI ยกระดับอนุมัติสินเชื่อและให้บริการ ไม่เพียงหวังให้ถูกใจผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังเร่งเสริมศักยภาพให้พร้อมเข้าตลาดหุ้นภายในปี 2025 ด้วย

ภาพยนต์โฆษณาที่มีเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ ใส่เสื้อสีฟ้านั่งอยู่ในออฟฟิศที่ดูทันสมัยแห่งหนึ่ง ซึ่งเผยแพร่ทั้งในทีวีและแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เช่น YouTube น่าจะติดตาผู้คนจำนวนไม่น้อย และถ้าไม่กดเปลี่ยนหรือเลื่อนไปก่อนจะดูจบก็คงเริ่มรู้จัก CardX  มากขึ้น

 

เช่นเดียวกับผู้ที่เป็นลูกค้าบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลของธนาคารไทยพาณิชย์อยู่แล้ว ก็คงมั่นใจว่าจะไม่มีผลกระทบจากการย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ และรอใช้แคมเปญตัวใหม่ที่จะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ 

 

แต่กว่าจะมาเป็นเรื่องราวในโฆษณาที่มีพี่เบิร์ดมาย้ำอยู่บ่อย ๆ นั้น เส้นทางของบริษัท คาร์ด เอกซ์ จำกัด (CardX ) ก็ใช้เวลาเกือบ 1 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเมื่อ 11 เดือนพฤศจิกายน 2564 จนพร้อมรับโอนธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลบางส่วน ซึ่งมีมูลค่ารวมที่ 1 แสนล้านบาทและเป็นจำนวนลูกค้าประมาณ 2 ล้านรายจากธนาคารไทยพาณิชย์มายัง CARDX  ภายในวันที่ 10 ธันวาคม 2565 นี้ 

 

โดย สารัชต์ รัตนาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แห่ง CardX บอกเล่ากับ Post Today ว่า หลังจากโอนธุรกิจจบเรียบร้อยแล้วบริษัทจะเริ่มดำเนินธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบในปี 2566  

 

สำหรับความเป็นมาก่อนเกิดเป็น CardX  นั้น สารัชต์เล่าว่า ทางธนาคารไทยพาณิชย์มีการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ที่มี CardX เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจทางการเงินในเครือบริษัทเอสซีบีเอกซ์ (SCBX) โดยบริษัทดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับแพลตฟอร์มด้านการเงินดิจิทัล ซึ่งให้บริการด้านบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ที่ครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด Speedy Cash และสินเชื่อส่วนบุคคล Speedy Loan 

 

ส่วนเหตุผลที่แยกกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมายังบริษัทใหม่นั้น สารัชต์เล่าอีกว่า เนื่องจากธุรกิจลูกค้าสินเชื่อรายย่อยที่แม้ให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงด้วย ดังนั้นการแยกธุรกิจนี้ออกมาจะช่วยให้บริหารจัดการได้คล่องตัวขึ้น เป็นแบบเฉพาะเจาะจงกว่าเดิม จึงไม่ได้เป็น one size fit all ซึ่งจะทำให้สามารถนำเสนอประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นในแง่การเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น อนุมัติได้แม่นยำ และรวดเร็วขึ้น 

 

ขณะที่โจทย์ของ CardX ที่ได้รับมอบหมายมานั้น คือต้องการให้บริษัทเป็นฟันเฟืองที่จะช่วยให้คนไทยเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้มากขึ้น รวมถึงทรานส์ฟอร์มวิธีบริหารจัดการ เพื่อให้เป็น The most admired financial platform ตลอดจนธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลด้วย

 

แต่หากเป็นโจทย์ด้านการเงินหรือผลการดำเนินงานนั้น CardX ก็หวังว่าจะเป็นหนึ่งในบริษัท flagship ของ SCBX ที่พร้อมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ในปี 2025

 

“ผมมองว่าจากบรรดาบริษัทในเครือ SCBX นั้นนอกจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์แล้ว CardX ถือเป็นบริษัทที่มีขนาดธุรกิจและโอกาสที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ จากที่สามารถแสดงผลงานได้รวดเร็ว"

 

สารัชต์ให้เหตุผลเพิ่มเติมอีกว่า ทั้งด้วยตัวเลขจำนวนลูกค้าถึง 2 ล้านราย มีรายได้ประมาณ 2 หมื่นล้าน ทำกำไรที่หลักพันล้าน ก็ไม่ถือว่าบริษัทอยู่ในระดับของธุรกิจสตาร์ทอัพแล้ว น่าจะเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพรองลงมาจากธนาคาร จึงเป็นเหตุผลที่ทำไม CardX ถึงจะเป็น flagship 

 

สารัชต์เล่าต่อว่าช่วงที่ผ่านมาบริษัทดำเนินการ 2 เรื่องที่สำคัญคือ หนึ่งเตรียมความพร้อมในการโอนธุรกิจ ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยหลายหลายมาก สองคือลงทุน 2 พันล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบการทำงานหลักตัวใหม่ ซึ่งอยู่บนแพลตฟอร์มคลาวด์ 100% จึงสามารถใช้ AI (Artificial intelligence) เป็นเครื่องมือสำคัญ ที่จะช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงสินเชื่อได้อย่างเท่าเทียมและสะดวกสบายมากกว่าเดิม

 

“ในปีหน้าจะมีการโอนข้อมูลจากระบบหลังบ้านตัวเดิมมาอยู่บนระบบใหม่ของ CardX  ที่นำ AI มาใช้ จะช่วยให้บริการลูกค้าได้เร็วและดีกว่าเดิม”

 

เมื่อถามถึงความแตกต่างหลังจากโอนย้ายธุรกิจมาอยู่กับ  CardX  นั้น สารัชต์มองว่าจุดสำคัญคือการใช้ AI มาช่วยพัฒนาเครื่องมือด้านอนุมัติสินเชื่อ ในแง่ว่าควรให้สินเชื่อหรือไม่ แล้วควรอยูที่วงเงินเท่าไร  ซึ่งด้วยเครื่องมือที่ดีขึ้น ถูกต้องขึ้น คัดกรองได้แม่นยำขึ้น น่าจะช่วยให้ผู้ใช้บริการเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้นหรือสามารถอนุมัติสินเชื่อให้แก่ผู้คนได้มากขึ้นนั่นเอง 

 

อีกจุดที่แตกต่างจากเดิมคือการมี AI มาช่วยในเรื่องของบริการในหลาย ๆ จุด เช่น บริการ call center ที่จะช่วยให้ลูกค้าสะดวกมากขึ้นติดต่อได้ 24 ชั่วโมง หรือแม้แต่การแจ้งเตืนลูกค้าให้ชำระเงิน 

 

“ผมคงไม่บอกว่าพอมาอยู่ใน CardX  แล้วผลิตภัณฑ์จะแตกต่างจากเดิมมาก ๆ แต่ที่แตกต่างแน่นอนคือจากเดิมที่จาก 100 คนที่เข้ามาเราอาจอนุมัติได้แค่ 20 คน แต่วันนี้อาจอนุมัติสินเชื่อให้ได้ถึง 50 คน” 

 

อย่างไรก็ตามด้วยเป้าหมายที่ CardX  ต้องการขยายฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น ต่อไปจึงมีการออกแบบหน้าบัตรให้ถูกใจและเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับผู้มีรายได้น้อย (รายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท/เดือน) และสินเชื่อแบบ Buy Now Pay Later สำหรับการซื้อสินค้าทางออนไลน์ที่ยอดเงินไม่สูงมากได้ 

 

เนื่องจากเดิมที่อยู่ภายใต้โครงสร้างของธนาคารจะมีข้อจำกัดมากกว่า แต่พอเป็นการดำเนินกิจการโดย CardX  ก็สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อสำหรับผู้มีรายได้น้อยได้คล่องตัวมากขึ้น ด้วยการอนุมัติสินเชื่อที่รัดกุมและเหมาะสม

 

ทั้งนี้จากเป้าหมายที่ต้องการเพิ่มกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่มากขึ้นนั้น สารัชต์เปิดเผยอีกว่า แม้แบรนด์บัตรเครดิตของบริษัทจะอยู่อันดับต้น ๆ ในตลาด แต่ก็ยอมรับว่ายังไม่ดึงดูดกลุ่ม young generation ได้มากนัก โดยลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่ม wealth กลุ่ม upper mass แต่สิ่งที่ CardX ต้องการสร้างคือให้กลุ่มลูกค้ากระจายตัวกว่านี้และมีกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่มากขึ้น 

 

รวมถึงมองว่าบริการที่เข้าถึงได้ง่ายและสะดวกจะตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ โดยมีดิจิทัลแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นใหม่อย่าง CardX  app (แอปพลิเคชันคาร์ดเอกซ์)  เป็นช่องทางสำคัญที่จะ engage และเข้าถึงกลุ่มคน Young Generation ได้  

 

“พอร์ตปัจจุบันของเราเป็นกลุ่ม Gen X ประมาณ 50% อีก 9-10% เป็นกลุ่มที่ผสมผสานระหว่างคนเริ่มทำงานและคนรุ่นใหม่ แต่ในโอกาสข้างน้าก็ต้องการขยายไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่และกลุ่มที่มีรายได้น้อยมากกว่านี้” 

 

สำหรับเหตุผลที่บริษัทเลือก เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์  มาเป็นตัวแทนในการบอกเล่าและสื่อสารเรื่องการโอนย้ายธุรกิจครั้งนี้นั้น สารัชต์เล่าว่า จาก feedback ทำให้พบว่าลูกค้าต้องการความมั่นใจว่าการโอนกิจการครั้งนี้ จะไปอยู่ในบริษัทที่เชื่อถือได้และดูแลลูกค้าได้ดี 

 

ดังนั้นจึงมองว่าการเลือกพี่เบิร์ดมาสื่อสารย่อมตอบโจทย์นี้ เพราะไม่เพียงตัวพี่เบิร์ดจะเข้าถึงฐานลูกค้าหลักที่มีตอนนี้แล้ว ยังสื่อว่าหากบริษัทเลือกใช้ศิลปินเบอร์ใหญ่ขนาดนี้ เพราะ CardX ไม่ได้มาเล่น ๆ และให้ความสำคัญมากกับการโอนกิจการครั้งนี้ นอกจากนี้ยังเป็นบุคคลที่สามารถสื่อสารได้ดีและยังช่วยลงเสียงในระบบ call center ของธนาคารไทยพาณิชย์อยู่แล้ว จึงเป็นตัวแทนที่ลูกค้าเดิมคุ้นเคยดีอยู่แล้ว  

 

สารัชต์ได้ทิ้งท้ายถึงการแข่งขันในตลาดสินเชื่อลูกค้ารายย่อยอีกว่า ยังคงดุเดือดทุกปีและไม่ได้ลดน้อยลง แต่คนได้เปรียบคือฝั่งที่นำเรื่องดิจิทัลมาใช้ เพราะผู้ให้บริการจะแข่งกันเรื่องขีดความสามารถด้านการใช้ดิจิทัล ทั้งการมีแพลตฟอร์มที่ใช้ engage ลูกค้า และมีบริการที่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ 

ข่าวล่าสุด

สยามพิวรรธน์คว้า 2 รางวัลโลก พร้อมเปิด NEXTOPIA สยามพารากอน