posttoday

ขย่มหุ้น‘โภคภัณฑ์’

24 มิถุนายน 2554

สหรัฐไม่ทำQE3-การเมืองกด ฝรั่งทิ้ง2.8พันล้าน-หุ้นดิ่ง9จุด

สหรัฐไม่ทำQE3-การเมืองกด ฝรั่งทิ้ง2.8พันล้าน-หุ้นดิ่ง9จุด

หุ้นโลกซึม สหรัฐไม่คลอด QE3 แถมกดจีดีพีลง หุ้นโภคภัณฑ์ไม่สดใส แถม CLSA มองลบหุ้นไทย ดิ่งอีก 9 จุด ฝรั่งขายอีก

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่สดใส หลังจากสหรัฐออกมาประกาศลดอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจลง รวมทั้งไม่มีการพูดถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 3 (QE3) หลังจาก QE2 จะหมดอายุในสิ้นเดือน มิ.ย.นี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง

ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศนักลงทุนยังกังวลกับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น และผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ล่าสุดเสียงส่วนใหญ่ไม่มั่นใจว่าการเมืองหลังเลือกตั้งเสร็จจะมีเสถียรภาพ

ตลาดหุ้นไทยดัชนีลงมาปิดที่ 1,014.13 จุด ลดลง 9.73 จุด หรือ 0.95% มูลค่าการซื้อขายเบาบางเพียง 19,383 ล้านบาท ขณะที่ต่างชาติกลับมาขายหนัก 2,807 ล้านบาท

 

ขย่มหุ้น‘โภคภัณฑ์’

ทั้งนี้ แรงขายหุ้นส่วนใหญ่ยังอยู่ในหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นพลังงาน เช่น บ้านปู (BANPU) ปิด 708 บาท ลดลง 8 บาท ปตท. (PTT) ปิด 329 บาท ลดลง 1 บาท ส่วนหุ้นสื่อสารหลังเจอปัญหากระทรวงพาณิชย์สอบเรื่องการถือหุ้นแทน (นอมินี) ส่งผลราคาร่วงหนัก โดย โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ปิด 53.25 บาท ลดลง 2.25 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีแอลเอสเอ มีมุมมองเป็นลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำ จากราคาน้ำมันชะลอตัวที่คาดว่าจะเห็นการขาดทุนของธุรกิจโรงกลั่น รวมถึงความเสี่ยงหลังการเลือกตั้งยังเป็นปัจจัยลบต่อหุ้นพลังงานต้นน้ำของไทย รวมถึงการสิ้นสุดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ 2 (QE2) และนโยบายเข้มงวดเศรษฐกิจของจีน เรียกว่าเป็นความมืดก่อนแสงสว่าง

ทั้งนี้ ได้ลดราคาเป้าหมายหุ้นกลุ่มนี้ลง 9-29% และลดเกรดการลงทุนสำหรับหุ้นบริษัท ไทยออยล์ (TOP) บริษัท ปตท.เคมิคอล (PTTCH) และบริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) เหลือน้อยกว่าตลาด และยังคงแนะนำขายหุ้นบริษัท ไออาร์พีซี (IRPC)

ด้าน บล.เอเซีย พลัส (ASP) ระบุว่า ตลาดหุ้นโลกผิดหวังจากการที่สหรัฐไม่มีมาตรการ QE3 ต่อ ซึ่งน่าจะหนุนดอลลาร์อินเด็กซ์ทรงตัวถึงแข็งค่าขึ้นในระยะกลาง ตรงกันข้ามจะกดดันให้ราคาน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์ทรงตัวถึงแกว่งตัวลง ซึ่งทำให้หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์น่าจะทรงตัวถึงอ่อนตัวลงในระยะ 1-3 เดือนข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงหนุนจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ สื่อสาร ค้าส่ง-ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และขนส่ง จึงคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยยังสามารถแกว่งตัวในกรอบ 1,000-1,050 จุด และแนะนำหุ้นเป็นรายบริษัท คือ RATCH, CPF, STANLY, BANPU, BCP, MCS และกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาส 3 แนะนำให้สะสมหุ้นธนาคารพาณิชย์และอสังหาริมทรัพย์ คือ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ไทยพาณิชย์ (SCB) พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) และศุภาลัย (SPALI)

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า สาเหตุที่หุ้นไทยปรับลงให้น้ำหนักกับปัจจัยในประเทศถึง 80% จากความกังวลทางการเมืองที่อยู่ในช่วงการเลือกตั้ง และอีก 20% จากการผิดหวังประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจเติบโตแย่กว่าที่คาด ทำให้นักลงทุนมีความกังวลต่อการลงทุน

 

ข่าวล่าสุด

รองนายกฯ “เอกนิติ” มอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2568