มาม่าดันรุ่นใหม่คุมทัพตลาด
"มาม่า"เขย่าโครงสร้างองค์กรดันรุ่นใหม่คุมทัพตลาด พร้อมผุดโรงงานน้ำมันปาล์ม-แป้งสาลี กันเสี่ยงต้นทุนวัตดุถิบพุ่ง
"มาม่า"เขย่าโครงสร้างองค์กรดันรุ่นใหม่คุมทัพตลาด พร้อมผุดโรงงานน้ำมันปาล์ม-แป้งสาลี กันเสี่ยงต้นทุนวัตดุถิบพุ่ง
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป”มาม่า” และนายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัทสหพัฒนพิบูล ผู้ทำตลาดและกระจายสินค้าอุปโภคบริโภค ร่วมเปิดเผยว่าหลังการลาออกของนางเพ็ญนภา ธนสารศิลป์ อดีตผู้บริหารบริษัทสหพัฒน์ฯ ได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ โดยจัดตั้งคณะกรรมการด้านการตลาด(มาร์เก็ตติง คอมมิตตี)ขึ้นมา เพื่อดูแลและบริหารงบประมาณทำตลาดสินค้าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” โดยเฉพาะ จากแต่ละปีใช้งบฯดำเนินกิจกรรมการตลาดราว800-900 ล้านบาท
สำหรับคณะกรรมการฯชุดดังกล่ว จะประกอบด้วยคนรุ่นใหม่ของบริษัทในเครือสหกรุ๊ป คือ นายเวทิต โชควัฒนา กรรมการผู้จัดการบริษัทบริษัท ซันร้อยแปด, นายเพชร พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ และนางชัยลดา ตันติเวชกุล กรรมการบริษัทฟาร์อีสท์ ดีดีบี เพื่อวางแผนกิจกรรมและบริหารงบประมาณการทำตลาดมาม่า ให้มีประสิทธิภาพและนำไปสู่ผลกำไรได้มากที่สุด จากเดิมที่บริษัทไทยเฟรซิเดนท์ฟูดส์ จะดูแลเฉพาะภาคการผลิตสินค้าเท่านั้น และสอดรับกับภาพรวมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่แข่งขันสูงในปัจจุบัน โดยคณะกรรมการฯชุดดังกล่าว จะมีเริ่มมีผลในวันที่ 1 ก.ค.นี้เป็นต้นไป
นายพิพัฒ กล่าวว่าในปี2554-2555 บริษัทคาดใช้งบไม่ต่ำกว่า 700-800 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิตมาม่าแบบบรรจุซองและแบบถ้วย เพิ่มขึ้นเป็น 7 ล้านแพ็คต่อวันในปีหน้า และจะเพิ่มเป็น 8 ล้านแพ็คต่อวันในปี 2556 จากปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 6 ล้านแพ็คต่อวัน เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาม่าบรรจุถ้วยมีอัตราเติบโตสูงถึง 20% ส่วนแบบซอง เติบโตราว 5-6% ซึ่งบริษัทคาดว่าในอนาคตสัดส่วนการบริโภคมาม่าแบบถ้วยจะอยู่ที่ 40% และแบบถ้วย 60% เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นในขณะนี้ จากปัจจุบันตลาดประเทศไทยมีสัดส่วนแบบซองอยู่ที่ 80% และแบบถ้วย 20%
ทั้งนี้ บริษัทยังจะตรึงราคาเดิมสินค้ามาม่าไว้ พร้อมวางแผนธุรกิจเพื่อรองรับการบริหารต้นทุนในภาพรวมระยะยาว โดยวางงบราว 600 ล้านบาท ก่อสร้างโรงงานผลิตแป้งสาลี ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกับโรงงานมาม่า เพื่อป้อนวัตถุดิบได้ทันที และลดขั้นตอนการขนส่งสินค้า รวมถึงอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มของบริษัทเอง ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ผลผลิตปาล์มจากสวน ซึ่งบริษัทจะไม่เข้ายุ่งในส่วนนี้, 2มีโรงงานผลิตลักษณะบีบผลปาล์ม และ3 โรงงานแบบกลั่น(รีฟายน์) คาดเห็นความชัดเจนใน2ปีนี้ ใช้งบลงทุนระยะแรกราว 100 ล้านบาท
“แนวทางดังกล่าว เพื่อลดต้นทุนการขนส่งสินค้าร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ และยังจะทำให้บริษัทมีผลกำไรเกิดขึ้นในระยะยาวด้วย จากเมื่อปีที่ผ่านมาถึงขณะนี้ราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น50% น้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้น17% เป็นต้น ทำให้กำไรบริษัทหายไป70ล้านบาท จากแนวทางดังกล่าวคาดจะทำให้บริษัทมีกำไรกลับคืนมาชดเชยกับที่หายไปในปี2556” นายพิพัฒ กล่าว
ล่าสุดบริษัทเปิดตัวสินค้าใหม่ “มาม่า ราเมง” วางตำแหน่งเป็นบะหมี่อบแห้งกึ่งสำเร็จรูประดับบน(พรีเมียม) จำนวน 2 รสชาติ คือ ออริจินัล และรสเป็ด วางราคาจำหน่าย 15 บาท เบื้องต้นวางจำหน่ายในช่องทางร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น ก่อนขยายไปยังร้านค้าปลีกอื่นๆ พร้อมวางงบทำตลาดราว 40 ล้านบาท จากปัจจุบันตลาดบะหมี่ฯระดับบนมีมูลค่าราว 0.5% ของตลาดรวม1.2 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทวางเป้ารายได้มาม่ากลุ่มพรีเมียมเพิ่มเป็น 2-3% ในปีหน้า
สำหรับผลดำเนินการบริษัท ในเดือนม.ค.-พ.ค.ที่ผ่านมาเติบโต9.9% จากการพัฒนาและออกสินค้าที่ใหม่ที่ตรงกับความต้องการผู้บริโภค โดยสิ้นปีนี้วางเป้ารายได้ของกลุ่มบริษัทเติบโต10% หรือกว่า 8,000 ล้านบาท


