บีเอ็มดับเบิลยูX3เอสยูวีพันธุ์หรู
จะว่าไปแล้วรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในตระกูล X
จะว่าไปแล้วรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในตระกูล X
โดย..นืธิ ท้วมประถม
ทั้งหลายนี้ ถือว่าเป็นรถยนต์ในฝันของบรรดาผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์เอสยูวี หรือรถยนต์อเนกประสงค์เลยก็ว่าได้ ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยูประเทศไทยก็มีรถยนต์ตระกูล X สำหรับจำหน่ายในไทยครบทุกรุ่นแล้ว เริ่มตั้งแต่ X1 X3 X5 และ X6 โดยรุ่น X1 และ X3 นั้นเป็นรุ่นที่ประกอบในประเทศ หรือซีเคดี เพื่อให้สามารถตั้งราคาจำหน่ายได้อย่างเหมาะสม ส่วนพี่ใหญ่อย่าง X5 และ X6 นั้น ต้องปล่อยให้เป็นรถนำเข้า (ซีบียู) ไปก่อน เพราะยอดขายไม่ได้หวือหวามากมายอะไร ทำให้ไม่คุ้มค่าต่อการขึ้นไลน์การประกอบในไทย
ขณะที่ X1 และ X3 นั้นเป็นรถเอสยูวีขนาดย่อมลงมา ทำให้มีฐานลูกค้าที่ใหญ่มากขึ้น สามารถสร้างยอดจำหน่ายได้พอสมควร บีเอ็มฯ เลยตัดสินใจประกอบทั้งเจ้า X1 และ X3 ในประเทศไทย และก็ได้รับการตอบรับที่ดีมากจริงๆ เพราะอย่าง X1 นั้นมียอดรอรับรถอยู่ประมาณ 500 คันแล้ว ลูกค้าคนสุดท้ายที่จะได้รับรถก็ต้องรอประมาณต้นปีหน้าโน่นครับ
ส่วนบีเอ็มฯ X3 ใหม่นั้น เป็นรุ่นที่ทางบีเอ็มฯ ตั้งใจไว้ว่าจะเป็นรถธงอีกรุ่นของบีเอ็มฯ ในปีนี้ เพราะจะว่าไปแล้วในตลาดรถยนต์หรูก็มองหาคู่แข่ง X3 ได้ยากเต็มทน อย่างวอลโว่ XC60 กับแลนด์โรเวอร์ ดิสคัฟเวอรี่ 3 ก็ค่อนข้างจะเก่าไปแล้ว ไม่ใหม่แกะกล่องเหมือนกับ X3 ใหม่นี้
ความใหม่ของบีเอ็มฯ X3 ใหม่นี้ ไม่ได้ใหม่เพียงแค่รูปร่างหน้าตาเท่านั้นนะครับ แต่ยังได้รับการพัฒนาและปรับปรุงจุดด้อยของเจ้า X3 ตัวเก่าให้ดีขึ้นไม่น้อยทีเดียว เรียกว่าคันนี้หาที่ติยากทีเดียว
บีเอ็มดับเบิลยู X3 ใหม่คันนี้ จะเริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการประมาณเดือน ส.ค.ปีนี้ แต่ทางบีเอ็มฯ ประเทศไทยได้นำรถรุ่นนี้มาให้ลองขับกันก่อนที่จะขายอย่างเป็นทางการ โดยคันที่ขับนี้เป็นรุ่นนำเข้า แต่มีสเปกที่เหมือนกับรุ่นที่ประกอบในประเทศทุกประการ เรียกว่าเป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนรุ่นประกอบในประเทศตัวจริง
ชื่อรุ่นอย่างเป็นทางการของ X3 ใหม่นี้คือ BMW X3 xDrive20d ครับ รูปร่างหน้าตาดูสปอร์ตมากขึ้น แต่ก็บึกบึนไม่น้อยเหมือนกัน ไม่ต้องกลัวว่าขับแล้วจะไม่เท่ อยู่ที่ว่าจะอยากลงจากเบาะหรือเปล่าเท่านั้นเอง
ต้องยอมรับว่ารถยนต์บีเอ็มฯ รุ่นหลังๆ นี้จะถูกออกแบบให้ลายเส้นบนตัวรถนั้นมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งทำให้ตัวรถดูมีสไตล์และสปอร์ตมากขึ้นกว่ารุ่นเดิมๆ ผมว่าบีเอ็มฯ รุ่นใหม่นี้ดูเฉี่ยวกว่ารุ่นเดิมๆ เยอะทีเดียว ดูจากภาพประกอบก็แล้วกันครับว่าดูดีมีสไตล์อย่างที่ผมบอกไว้หรือเปล่า
ไฟหน้าของ X3 ใหม่นี้เป็นไฟ LED แบบวงแหวนด้วยครับ ไม่ต้องห่วงเรื่องความสว่างยามค่ำคืน ส่วนไฟท้ายหลังนั้นเป็นรูปทรงตัว L พร้อมระบบไฟ LED แนวนอนโค้งขึ้นโอบไปกับมุมตัวถังรถ
ก้าวเข้ามาภายในสิ่งแรกที่ผมทำ คือ เข้าไปดูเบาะที่นั่งด้านท้ายครับ เพราะ X3 เดิมนั้นเบาะผู้โดยสารหลังนั้นอย่างแคบ นั่งกันแบบหน้างอเข่าชิดกับเบาะนั่งด้านหน้าเลยทีเดียว แต่ X3 ใหม่นั้นได้ขยายพื้นที่ห้องโดยสารตอนหลังให้กว้างมากขึ้นกว่าเดิมไม่น้อยทีเดียว สามารถนั่งได้แบบสบายใจแล้ว ที่สำคัญมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารหลังอีกด้วย ไม่จำเป็นต้องรอน้ำใจจากผู้โดยสารตอนหน้าให้เปิดแอร์แรงๆ เพื่อความเย็นของผู้โดยสารอีกแล้ว คราวนี้ก็แอร์ใครแอร์มันครับ แจ่มจริงๆ
ความกว้างของพื้นที่ห้องโดยสารที่กว้างขึ้นเกิดจากการขยายมิติในทุกด้าน โดยเจ้า X3 ใหม่ มีความยาว 4,648 มม. ยาวกว่ารุ่นเดิม 83 มม. กว้าง 1,881 มม. กว้างกว่ารุ่นเดิม 28 มม. สูง 1,661 มม. สูงกว่ารุ่นเดิม 1 มม. ทำให้พื้นที่ใช้สอยในห้องโดยสารของ X3 นั้นดูกว้างขวางกว่ารุ่นเดิมมากทีเดียวครับ ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถก็เพิ่มขึ้นเป็น 550 ลิตร มากกว่ารุ่นเดิมถึง 70 ลิตร
ส่วนอุปกรณ์ความสะดวกภายในนั้น ไม่มีเครื่องเล่นดีวีดีมาให้ แต่มีระบบนำทางมาให้ครับ ซึ่งผมเชื่อว่าในรุ่นหลังๆ เจ้าดีวีดีนี้จะถูกติดตั้งมาให้อย่างแน่นอน
ขยับนั่งเข้าที่เข้าทาง ปรับเบาะนั่งให้ถูกต้อง กดปุ่มสตาร์ตได้เลย เสียงเครื่องยนต์ดีเซลครางเบาๆ ให้ได้ยินนิดหน่อย ส่วนเรื่องเครื่องยนต์สั่นนั้นแทบไม่ปรากฏอาการให้ได้รู้สึก
มือซ้ายลดจากปุ่มสตาร์ต มาขยับเกียร์เป็นเกียร์ D เจ้า X3 ก็เคลื่อนตัวไปแบบเนิบๆ แต่นุ่มนวล เส้นทางในช่วงแรกยังเป็นเส้นทางในเมือง การจราจรค่อนข้างหนาแน่น ทำให้เราได้แค่ลองขับบีเอ็มฯ X3 ไปได้แบบเรื่อยๆ ความเร็วอยู่ในระดับปกติ เบรกเป็นระยะๆ
ความเร็วอยู่ไม่เกิน 80 กม./ชม. โหมดช่วงล่างอยู่ที่ NORMAL ซึ่งถือว่าเป็นระบบปกติของการใช้งานครับ โดยโหมดนี้ช่วงล่างจะนุ่มนวลหน่อย นั่งสบาย รอบเครื่องยนต์ตัดในรอบแบบปกติ ไม่ลากรอบเครื่องยนต์จัดจ้าน ถือว่าเป็นโหมดครอบครัวเลย
แต่พอขับมาได้สักระยะ ทางเริ่มขึ้นเขา คดโค้ง และโค้งหนักๆ โหมด NORMAL เริ่มไม่ไหวครับ ไม่สนุกแล้ว และที่สำคัญผู้โดยสารตอนหลังเริ่มออกอาการเมารถเสียแล้ว ต้องปรับโหมดการขับขี่เป็น SPORT หรือจะขึ้นเป็น SPORT+ (SPORT PLUS) ก็ไม่ผิดกติกาอย่างใด แต่ต้องแลกกับความแข็งของระบบช่วงล่างที่ปรับเพิ่มขึ้น และการลากรอบเครื่องยนต์ รวมถึงน้ำหนักของพวงมาลัยที่ปรับตามลักษณะการขับขี่ของเราครับ
ซึ่งส่วนตัวของผม หากเป็นการขับขี่ต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางคดโค้ง ผมปรับระบบช่วงล่างเป็น SPORT เสมอครับ เพราะจะได้เรื่องของอัตราเร่ง และช่วงล่างที่หนึบมากกว่าเดิม
โดยเฉพาะโหมด SPORT+ นั้น ต้องบอกว่าดิบใช้ได้เลยครับ อัตราเร่งแบบหลังติดเบาะ กระชากออกตัวทุกครั้งที่เพิ่มน้ำหนักเท้า พวงมาลัยที่ฟ้องให้เรารู้ว่ายางกำลังสัมผัสพื้นถนนแบบใดอยู่ เรียบหรือขรุขระมากน้อยแค่ไหนรู้หมด
แต่ครั้งนี้ผมปรับโหมดช่วงล่างเป็นแค่ SPORT เท่านั้นครับ แค่นี้ช่วงล่างนิ่งขึ้นเยอะ ไม่โยนเหมือนกับโหมด NORMAL เข้าโค้งได้สนุกมากขึ้น พวงมาลัยคมกริบ ไม่ต้องห่วงครับ และก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเสียการทรงตัวครับ เพราะลองกดคันเร่งหนักๆ กลางโค้ง ซึ่งหากเป็นรถขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าแบบปกติ ท้ายออกแน่นอน
แต่กับ X3 นั้นไม่ต้องห่วงครับ เพราะมีระบบพร้อมกับระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ xDrive ที่สามารถแปรผันกำลังขับเคลื่อนไปสู่ล้อทั้งสี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีระบบรักษาเสถียรภาพของตัวรถอีกด้วย ทำให้ท้ายรถไม่ปัด หรือถูกสาดออกไปอย่างที่อยากให้เป็น เฮ้อ...หมดสนุกเลย แต่ปลอดภัยเต็มๆ
แถมทางชันๆ ของขุนเขาแห่งเชียงราย ไม่สามารถทำให้บีเอ็มฯ X3 ต้องเสียหน้าแต่อย่างใด เพราะโหมด SPORT ทำหน้าที่ลากรอบเครื่องยนต์ เรียกแรงบิดให้ไต่ไปตามทางชันๆ ได้เป็นอย่างดี และยังทำหน้าหน่วงรถเหมือนเป็นเบรกในตัวยามที่ต้องวิ่งลงเขายาวๆ ได้ดีอีกด้วย
เครื่องยนต์ของบีเอ็มฯ X3 คันนี้ ต้องยกนิ้วให้เลยครับ เป็นเครื่องยนต์ดีเซลที่ถือว่าอยู่ในระดับต้นๆ ของโลก ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยีและพละกำลัง โดยเครื่องยนต์ตัวนี้เป็นเครื่องยนต์ Advanced Diesel แบบ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยีระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบแปรผัน
เครื่องตัวนี้มีม้าเลี้ยงอยู่มากถึง 184 ตัว และแรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,750 รอบ แค่นี้ก็น้ำลายไหลแล้วครับ แรงบิด 380 นิวตันเมตร ที่รอบเครื่องยนต์แค่ 1,750 รอบต่อนาที แตะๆ ก็พุ่งแล้วครับ ไม่ต้องตะบี้ตะบันเหยียบให้เมื่อยเท้าก็จะปลิวอยู่แล้ว
อัตราเร่งทั้งความเร็วในระดับต่ำ ระดับกลาง และความเร็วสูง ไม่ต้องกังวลครับ เรียกมาทุกครั้งที่ต้องการ เร่งแซงได้สบายหายห่วง แต่ในช่วงออกตัวอาจจะอืดไปสักนิด จากรูปร่างรูปทรงที่ค่อนข้างหนาเอาการ แต่พอขยับเข้าที่เข้าทางแล้วหายห่วง ความเร็วระดับ 140-170 กม./ชม. ถือเป็นความเร็วมาตรฐานในแบบชิล ชิล ไม่ต้องเค้นเครื่องยนต์ให้เหนื่อยอะไร
นอกจากเครื่องยนต์ระดับเทพแล้ว สิ่งที่เป็นเทพเคียงข้างกัน คือ ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8HP 8 สปีด ที่มีอัตราทดเกียร์ที่แสนจะลงตัวทั้งในความเร็วต่ำและความเร็วสูง เรียกว่าเกียร์ตัวนี้ไม่ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกถึงการเปลี่ยนเกียร์เลยครับ นุ่มนวลขั้นเทพ
อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามสเปกเขียนไว้ว่า 8.5 วินาที แต่ผมไม่คิดจะจับเวลา เพราะการใช้งานจริงไม่ระห่ำกดจาก 0-100 ในรวดเดียวหรอกครับ แค่ออกตัวแบบกระฉับกระเฉง ไม่ต้องตามหลังใครก็พอแล้ว
อัตราการสิ้นเปลืองอยู่ที่ประมาณ 11 กิโลเมตรต่อลิตร สำหรับการขับทั้งทางราบและบนเขา ที่ต้องใช้แรงเครื่องยนต์มากกว่าปกติ ถ้าขับแบบปกติ ผมว่าได้เห็นอัตราสิ้นเปลืองระดับ 13 กิโลเมตรต่อลิตรแน่ๆ
ขับเสร็จแล้วแทบจะบอกเลยว่า ผมหลงรักเจ้า BMW X3 xDrive20d ตัวนี้ขึ้นมาเสียแล้ว ทั้งประหยัด สนุก สบาย หรู อย่างนี้ไม่ให้รักได้ไง สนนราคาค่าตัวบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ยังไม่เฉลย เพราะจะเริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการในเดือน ก.ย.ที่จะถึงนี้ แต่แว่วว่าน่าจะอยู่ราวๆ 3 ล้านบาท ใกล้เคียงกับบีเอ็มฯ X3 รุ่นเดิม
ใครอยากได้รถดีๆ ไว้เป็นคู่ครองสักคัน อย่าลืมหันมองคันนี้ รับรองขับแล้วรักเลย...


