ฝันที่เป็นจริงบนถนนสายดนตรี เตชินท์ ชยุติ
ศิลปินหน้าใหม่ ในสังกัดแกรมมี่ เตซินช์ ชีวิตจริงบนถนนสายตนตรี
ศิลปินหน้าใหม่ ในสังกัดแกรมมี่ เตซินช์ ชีวิตจริงบนถนนสายตนตรี
อัคร เกียรติอาจิณ
แค่ได้ฟังเพลงของเขา เราก็ต้องร้องโอ้ว...ว เสียงใครกันเนี่ย ทำไมช่างนุ่มทุ้มดีแท้ และยิ่งมาเจอตัวจริง ต้องขอบอกว่าหนุ่มคนนี้มีบุคลิกนุ่มนวล ชวนเคลิ้ม อบอุ่น น่ารัก ได้อีกตั้งเยอะ
"เตชินท์ ชยุติ" หรือ "เต" นักศึกษาชั้นปี 3 คณะมนุษยศาสตร์ ภาควิชาศิลปนิเทศ สาขาวิชา ดนตรีตะวันตก เอกการขับร้องคลาสสิกโอเปรา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพิ่งก้าวไปเป็นศิลปินหน้าใหม่ในสังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ หมาดๆ ตอนนี้กำลังมีอัลบั้มแรกเป็นของตัวเอง พร้อมส่งเพลงเด่นเพลงเพราะที่คุ้นหูจับใจแฟนๆ คือ "รักได้คนเดียว" "คำตอบของหัวใจ"
ไหนๆ ก็ฟังเพลงของเขาจนอิ่มเอมแล้ว ลองมาฟังเขาเล่าชีวิตขณะอยู่ในรั้วนนทรีบ้างเป็นไงล่ะ เผื่อจะได้ให้มุมมองใหม่ๆ ไปปรับใช้ต่อ
หนุ่มน้อยกับความฝัน
ฟังเผินๆ เตชินท์ ใครๆ ก็คงคิดว่าเจ้าของชื่อมีเชื้อเกาหลี เป็นลูกครึ่งแดนกิมจิ หรือไม่ก็ไปเกิดและโตที่นู่นแล้วค่อยกลับมาอยู่เมืองไทย แต่เรื่องจริงคือผิดหมด เพราะเตชินท์เป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ ภูมิลำเนาของเขาเหรอ... ก็จังหวัดที่แคบที่สุดไง จะเป็นอื่นใดไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ระนอง
"ชื่อเตมาจากการที่คุณแม่ชอบดูเจงกิสข่านมากๆ ครับ แล้วพระเอกชื่อ เตมูจิน คุณแม่เลยเอามามิกซ์แอนด์แมตช์ ตั้งชื่อลูกเป็นเตชินท์ซะเลย" อืม...คุณแม่ช่างมีพรสวรรค์ทางด้านนี้นะเนี่ย (ฮา)
เตชินท์ เล่าว่า แม่ของเขาเป็นคนช่างสังเกต ลูกๆ ชอบทางด้านไหนเป็นพิเศษก็จะคอยช่วยส่งเสริมสนับสนุนด้านนั้น โดยให้ลูกๆ ตัดสินใจประกอบถึงความเป็นไปได้ ทั้งความสามารถและพรสวรรค์
"คุณแม่เห็นแววว่าผมชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก คือโชคดีที่ได้ความเป็นคนช่างสังเกตของแม่ ซึ่งทำให้ได้รู้ว่าลูกแต่ละคนชอบอะไร และมันก็กลายเป็นความฝันของผมเลยนะ ผมมีความฝันที่จะเป็นนักร้องตั้งแต่เรียน ม.4 ขีดเส้นให้กับตัวเองเลยว่าชีวิตนี้ต้องเข้าวงการบันเทิง ชีวิตนี้ต้องเป็นนักร้องให้ได้ ผมจึงเข้าประกวดอยู่เรื่อยๆ โดยมีคุณพ่อคุณแม่เป็นคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง"
และแล้วเวทีประกวดต่างๆ ก็นำทางให้หนุ่มหล่อเสียงดีคนนี้เข้าสู่ความฝันมากขึ้นจากเวทีประกวดภายในโรงเรียน ชนะระดับโรงเรียน ก็ผันสู่ระดับจังหวัด จนขยับถึงระดับภาคใต้ และก้าวมายืนอยู่จุดสูงสุดคือระดับประเทศ
"ประกวดมาอย่างนี้ตลอดครับ จนมาถึงการประกวดดัชชี่บอยแอนด์เกิร์ล ปี 2007 ได้รางวัลชนะเลิศสาขาการร้องเพลง ซึ่งผู้ที่ได้รางวัลชนะเลิศในสาขานี้จะได้เซ็นสัญญากับค่ายแกรมมี่ แล้ววันนั้นฝันของผมเป็นจริงจนได้ ผมมีโอกาสออกอัลบั้ม ได้ร้องเพลงอย่างที่ใจหวัง"
รางวัลแห่งความฝันที่ได้มานี้ เตชินท์บอกไม่ได้มีเขาเพียงคนเดียวที่ได้ แต่มันคือรางวัลของคนในครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ที่ช่วยผลักดันให้เขาไล่ล่าฝันจนสำเร็จ แม้ว่าบนถนนสายนั้นอาจเต็มไปด้วยขวากหนาม
"มันคือความฝันสูงสุดในชีวิต ซึ่งผมเปรียบความฝันอันนี้เป็นความฝันของคุณพ่อคุณแม่ด้วย เพราะท่านสนับสนุนเรื่องการเรียนร้องเพลงอย่างมาก ขับรถจากระนองมากรุงเทพฯ ให้ผมตลอด ทำอยู่อย่างนี้เป็นปีเพื่อให้ลูกได้เรียนร้องเพลง ท่านอยากให้ผมเก่ง ผมเลยคิดว่ารางวัลนี้ก็ควรจะมอบให้ท่าน ถ้ามันทำให้ผมมีความสุข คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องมีความสุขกับรางวัลอันทรงเกียรตินี้เช่นกัน"
เลือกเรียนตามใจ (อยาก)
เพราะเตชินท์ชอบร้องเพลง เขาจึงรู้สึกว่าถ้าได้ทำในสิ่งที่รัก สิ่งที่ได้รับน่าจะเป็นสิ่งที่ดี นี่เองจึงทำให้เขามุ่งมั่นกับการฝึกฝนการร้องเพลงอย่างจริงจัง ต้องแลกด้วยความเหนื่อยยาก หรือบางจังหวะอาจซื้อเวลาส่วนตัวตามประสาวัยรุ่นไปบ้าง แต่เขาก็ยอมรับโดยดีเพื่อวันข้างหน้าที่รออยู่ เขาว่าอย่างนั้น
"ผมเป็นคนชอบเรียนร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ จริงๆ ตอนแรกคิดว่าจะไปเรียนนิเทศศาสตร์ เพราะชอบงานในวงการบันเทิง อยากจะทำอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับงานในวงการ แต่พอคิดไปคิดมา มีสาขานี้เปิด บวกกับผมชอบร้องเพลงอยู่แล้ว ก็เลยตัดสินใจเรียนการร้องเพลงโดยตรงดีกว่า น่าจะมีความสุขมากกว่าที่ต้องไปเรียนสาขาที่ไม่ชอบ"
แม้ว่าคุณแม่จะเห็นแววการชอบร้องเพลงของเตชินท์ แต่ลึกๆ ก็เคยอยากเห็นลูกชายคนนี้เรียนโรงเรียนนายร้อย แต่เพราะเปิดใจอย่างแฟร์ถึงความต้องการและเป้าหมายที่แท้จริงในชีวิต สุดท้ายคุณแม่จึงเห็นดีกับความคิดของลูกชาย
"ตอน ม.4 แม่เคยบังคับให้เรียนสายวิทย์-คณิต เพราะอยากให้สอบเข้าเป็นนักเรียนนายร้อย แต่ว่าผมไม่ชอบ วันนั้นก็นั่งจับเข่าคุยกันอย่างเปิดอก ผมบอกคุณแม่ว่าไม่ชอบนายร้อย อยากเป็นนักร้อง แรกๆ ท่านก็งอนๆ นิดนึง แต่พอคุยกันเรียบร้อย ท่านก็เข้าใจและยอมรับในการตัดสินของผม
สำหรับคุณพ่อคุณแม่หลายๆ คน ผมว่าอย่าบังคับลูกเลยครับ รู้สึกว่าอันไหนที่เด็กชอบเขาจะทำออกมาได้ดี อยากให้พ่อแม่ที่รู้ว่าลูกตัวเองชอบอะไร ควรสนับสนุนเขาไปทางนั้น อย่างผมจะบอกกับพ่อแม่ตรงๆ แต่บางคนอาจไม่ใช่ บางคนยอมทำตามพ่อแม่ แล้วทิ้งความฝัน ผมรักพ่อแม่นะ แต่ถ้าให้ทำอะไรที่ไม่ชอบไม่รัก ผมว่าคนเราก็ไม่มีความสุขหรอก" เตชินท์ แนะนำ
เรียนไปร้องไป
เตชินท์สารภาพกับเราว่าการเข้ามาเป็นศิลปินทำให้เขาต้องปรับตัวกับการเรียนอย่างหนัก เวลาเข้าเรียนสำคัญ เพราะอาจารย์เช็กตลอด หายไปโดยที่ไม่บอกถือว่าขาด อาจมีผลต่อการสอบตอนปลายเทอม
"ตอนนี้ผมอยู่ในช่วงปรับตัวมากๆ เลยละครับ ค่อนข้างยากเหมือนกันนะ เพราะที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีเรียนทุกวัน และอาจารย์ก็ค่อนข้างซีเรียสกับการเข้าเรียนด้วย เช็กการเข้าเรียนทุกชั่วโมง ผมก็ต้องคุยกับพี่ๆ ทีมงานก่อนว่าวันไหนว่างหรือติดเรียน แต่ก็โอเคเพราะอยู่ที่มหาวิทยาลัยมีเพื่อนคอยช่วยเหลือ คิดว่าโชคดีมากที่มีเพื่อนดี และอาจารย์บางท่านก็คอยช่วยเหลือและให้คำชี้แนะตลอด"
เพื่อการันตีความเป็นนักร้องตัวจริง อยู่ที่คณะเตชินท์เป็นนักร้องประจำวงวู้ดวินซิมโฟนี ออร์เคสตรา ซึ่งเป็นวงเครื่องเป่าทั้งทีม โดยที่เขารับหน้าที่ร้อง โอเปราและเพลงอื่นๆ บ้าง พร้อมทั้งปั้นรุ่นน้องหน้าใหม่เข้ามาแสดงความสามารถ เพราะเมื่อวันหนึ่งวันใดรุ่นพี่จบไปจะได้มีตัวตายตัวแทน
สำหรับสาขาที่เตชินท์เรียนอยู่นี้ จะหนักไปทางเป็นดนตรีเสียหมด ไม่ว่าจะเป็น การออกเสียง การร้องโอเปรา เรียนเปียโน เรียนไวโอลิน จนถึงเรียนวิธีการสอนเด็กตัวเล็กๆ ซึ่งมีวิธีการสอนให้รู้จักกับตัวโน้ต แถมยังวิชาบูรณาการข้างนอกเพิ่มเติม แต่นั่นก็ไม่ยากเท่าวิชาที่หลายๆ คนขยาด นั่นคือภาษาอังกฤษ
"เพราะส่วนใหญ่เด็กดนตรีจะใช้เวลาอยู่กับการซ้อมดนตรีมากกว่า จะไม่มีเวลานั่งอ่านหรือท่องหนังสือเท่าไหร่ ภาษาอังกฤษเลยไม่ค่อยปึ๊กกัน ทำให้ผมต้องขยันยิ่งขึ้น หรือถ้ามีเวลาก็จะไปลงเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม"
การทำงานพร้อมกันกับการเรียนเป็นเรื่องหนักสำหรับนักร้องหน้าใส แต่เขาก็ยืนยันว่าจะพยายามทำให้ดีที่สุด เพราะนี่คือบทพิสูจน์หนึ่งว่าความฝันจะสำเร็จมักไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ยังต้องฝ่าฟันอุปสรรคให้เป็นแบบทดสอบชีวิตอยู่อย่างไม่ว่างเว้น
"บางทีคุณแม่จะแอบบ่นที่เราไม่ค่อยมีเวลาให้กับการเรียน เพราะท่านไม่อยากให้ผมเสียการเรียน ยิ่งตอนนี้ก็ปี 3 แล้วด้วย ท่านจะเครียดเรื่องนี้เหมือนกัน ผมเลยต้องพยายามทำให้ท่านเห็นว่าทำได้เพื่อให้ท่านสบายใจ"
ไม่ก้าวต่อก็ไม่มีวันหน้า
วันนี้เตชินท์ได้สัมผัสกับความฝันของตัวเองแล้ว แต่บางอารมณ์เขาก็มีมุมท้อห่อเหี่ยวกับชีวิตและเรื่องราวต่างๆ ที่ถาโถมใส่ ทว่าด้วยความที่เป็นคนคิดบวก มองโลกแง่ดี ไม่มีใครเก่งจากท้องพ่อท้องแม่ ต้องเรียนรู้และฝึกปรือจึงจะเข้าใกล้กับความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้า
"การที่ผมเป็นเด็กใหม่ เพิ่งเข้ามาทำงาน บางครั้งก็มีแอบท้อเหมือนกันนะ ทำไมทำงานดึกทุกวันเลย บางทีกว่าจะเสร็จก็ตี 1 ตี 2 กลับบ้านอาบน้ำสระผมกว่าจะได้นอนก็ตี 3 พรุ่งนี้มาตี 5 อีกแล้ว เหนื่อยนะครับ เพราะผมเป็นคนที่ค่อนข้างขี้นอยด์ (พารานอยด์) มาก (หัวเราะ) ขี้น้อยใจ คิดมาก แล้วมันทำให้เครียด แต่แม่ก็เป็นคนบอกเสมอว่าก็อยากเข้ามาเองนี่ อยากเป็นนักร้องแล้วบ่นทำไมล่ะ ความคิดของแม่เป็นความคิดบวกที่ช่วยให้ผมรู้จักนำมาปรับใช้ มันดีมากนะครับ ก็จะบ่นทำไม ในเมื่อมันคือความสุขของเรา และเราก็เลือกเอง เดี๋ยวนี้ผมจะพยายามคิดแต่ในสิ่งที่ดีๆ หาวิธีการคิดบวกเพื่อไม่ให้ตัวเองเกิดอาการนอยด์ จะได้ไม่เครียด และพร้อมจะทำงานอย่างมีความสุข
ตั้งแต่ที่ผมขีดเส้นให้กับตัวเองว่าชีวิตนี้ต้องเป็นนักร้องให้ได้ ผ่านการประกวดมาเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นคัดเลือกต่างๆ นานา เขาออดิชันกันที่ไหนไปหมด ล้มมาก็เยอะ เสียน้ำตามาก็มาก แต่ผมเรียนรู้ว่าคนที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังอย่างคุณพ่อคุณแม่คือกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ ท่านจะบอกผมว่าให้สู้ต่อไป ลูกต้องสู้ต่อไปนะ ผมได้ฟังแล้วปลื้มใจครับ วันที่ร้องไห้พลาดหวังซับน้ำตาเสร็จ ผมต้องลุกขึ้นเพื่อมาเดินต่อไป เพราะนี่คือพรที่ท่านมอบให้กับผม ไม่ก้าวต่อก็ไม่มีวันเดินได้
ล้มได้แต่ต้องลุก และต้องก้าวต่อไปนะครับ อย่าถอยหลังกลับ หรือทิ้งฝันเด็ดขาด ถ้าคุณก้าวถอยหลังเพียงก้าวเดียวคุณก็แพ้แล้ว ผมว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกไม่ใช่เพราะดวงอย่างเดียว แต่มันก็มาจากตัวคุณด้วย คือต้องลงมือทำมันอย่างจริงใจ"


