posttoday

วางแผนก่อนทำประกัน ตอน สุขภาพและวินาศภัย

08 พฤษภาคม 2554

หลังจากทำความรู้จักกับ “ประกันสุขภาพ” และ “ประกันวินาศภัย” ก็น่าจะพอทำให้เห็นภาพรวมของการทำประกันและใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนทำประกัน....

หลังจากทำความรู้จักกับ “ประกันสุขภาพ” และ “ประกันวินาศภัย” ก็น่าจะพอทำให้เห็นภาพรวมของการทำประกันและใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนทำประกัน....

โดย...สวลี ตันกุลรัตน์

สัปดาห์นี้น่าจะเป็นตอนสุดท้ายของซีรีส์ “วางแผนก่อนทำประกัน” กันแล้ว (เผื่อว่าใครกำลังเริ่มเบื่อการทำประกัน) เพราะหลังจากทำความรู้จักกับ “ประกันสุขภาพ” และ “ประกันวินาศภัย” ก็น่าจะพอทำให้เห็นภาพรวมของการทำประกันและใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนทำประกัน

ประกันสุขภาพ

ข้อมูลจากชุดวิชาการวางแผนประกัน ภัย หลักสูตรวางแผนทางการเงิน ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน สถาบันกองทุนเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้เห็นว่า ทุกวันนี้ประชาชนคนไทยแทบทุกคนมี “หลักประกันสุขภาพ” เป็นของตัวเอง เพราะคนไทยที่ไม่มีหลักประกันใดๆ เลยมีอยู่ไม่ถึง 5% เท่านั้น

ทั้งนี้ เป็นเพราะกว่า 70% ของคนไทยสามารถใช้บริการ “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” เพียงแค่มีบัตรประชาชนเพียงใบเดียว ขณะที่คนอีกประมาณ 10% เป็นข้าราชการที่มีสวัสดิการของข้าราชการรองรับ อีกประมาณ 10% มีประกันสังคม และมีคนไม่ถึง 1% เท่านั้น ที่ซื้อประกันชีวิตจากบริษัทประกัน

เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว ต้องขออนุญาตเล่าประสบการณ์ตรงที่มีต่อ “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” ที่ต้องยอมรับว่า โรคร้ายที่ต้องเสียเงินหลายแสนบาทให้กับโรงพยาบาลเอกชน แต่ถ้ายอมเสียเวลาและอดทนกับความไม่สะดวกสบายบางอย่าง เราก็แทบจะไม่ต้องควักกระเป๋าเลยสักนิด
แต่ถ้าเราไม่อยากเสียเวลารอคิวยาวๆ และต้องการความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น ก็คงต้องยอมควักกระเป๋าซื้อประกันสุขภาพให้กับตัวเอง โดยชุดวิชาการวางแผนประกันภัยให้ข้อมูลว่า “สัญญาประกันสุขภาพ” ที่มีขายในประเทศไทยมีอยู่ 5 รูปแบบ ได้แก่

1.สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพที่ขายโดยบริษัทประกันชีวิต

แค่ชื่อก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ประกันสุขภาพรูปแบบนี้ “ไม่สามารถซื้อแยก” ได้ แต่ต้องซื้อพ่วงไปกับประกันชีวิต เพราะฉะนั้นก่อนที่จะซื้อประกันสุขภาพแบบนี้ ต้องเริ่มจากการซื้อประกันชีวิตเสียก่อน และไม่ใช่ว่าเพียงแค่ซื้อประกันชีวิตแล้วจะสามารถซื้อ “สัญญาแนบท้าย” นี้ได้ เพราะอย่างน้อยๆ จะต้องซื้อประกันชีวิตที่มีทุนประกันตั้งแต่ 1-2 แสนบาทขึ้นไป

สัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพ จะมีการจ่ายผลประโยชน์ให้กับผู้เอาประกันใน 8 รายการหลัก ต่อไปนี้ คือ

- ค่าห้อง ค่าอาหาร และค่ารักษาพยาบาลต่อวัน
- ค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ
- ค่าธรรมเนียมผ่าตัด
- ค่าห้องผ่าตัด
- ค่าวางยาสลบ
- ค่าวินิจฉัยโรคในห้องทดลองต่างๆ ในขณะเป็นผู้ป่วยนอก
- ค่าปรึกษาแพทย์ต่อครั้ง
- ค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉินอันเนื่องจากอุบัติเหตุ

 

วางแผนก่อนทำประกัน ตอน สุขภาพและวินาศภัย

นอกจากนี้ ผลประโยชน์ในแต่ละหัวข้อจะกำหนดวงเงินสูงสุดที่จะจ่ายให้กับผู้เอาประกันต่อการเข้ารักษาพยาบาลครั้งใดครั้งหนึ่งเอาไว้อย่างชัดเจน โดยจะจ่ายเฉพาะการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นหลังจากทำสัญญาแล้วไม่น้อยกว่า 30 วันเท่านั้น และที่สำคัญ คือส่วนใหญ่จะคุ้มครองเฉพาะกรณีที่เข้ารับการรักษาในฐานะ “ผู้ป่วยใน” หรือต้องนอนโรงพยาบาลเท่านั้น

“ผู้เอาประกันภัยต้องพิจารณาว่า ต้องการความคุ้มครองมากน้อยเพียงใดในแต่ละรายการ โดยปกติการเสนอขายมักจะใช้จำนวนเงินผลประโยชน์ค่าห้องและค่าอาหารต่อวันมาให้ผู้เอาประกันพิจารณา ผู้เอาประกันไม่มีสิทธิเปลี่ยนแปลงรายการผลประโยชน์สูงสุดของแต่ละรายการได้”

สำหรับการรักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยนอก บริษัทประกันจะแยกขายเป็นสัญญาเพิ่มเติมอีกอันหนึ่ง และกำหนดวงเงินผลประโยชน์สูงสุดในแต่ละรายการไว้เช่นเดียวกัน รวมทั้งอาจจะมีสัญญาแนบท้ายผลประโยชน์ค่าชดเชยรายวันอีกด้วย

2.สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพหมู่ที่ขายโดยบริษัทประกันชีวิต

เช่นเดียวกันบริษัทประกันชีวิตจะขาย “สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพหมู่” พ่วงมากับสัญญาประกันชีวิตหมู่ เช่นเดียวกับการทำประกันแบบรายบุคคล รวมทั้งผลประโยชน์ที่ได้รับจะไม่แตกต่างกัน

เพียงแต่การทำประกันสุขภาพหมู่ ไม่ต้องตรวจสุขภาพ (ถ้าเป็นสมาชิกกลุ่มภายใน 30 วัน) โดยมากบริษัทหรือองค์กรจะซื้อและชำระเบี้ยประกันสุขภาพรูปแบบนี้ให้กับพนักงาน ซึ่ง “ขนาดของกลุ่ม” จะมีผลกับการทำประกันรูปแบบนี้ เพราะโดยมากบริษัทประกันจะรับทำประกันสุขภาพหมู่ให้กับกลุ่มที่มีสมาชิกไม่ต่ำกว่า 10 คน

3.การประกันภัยหมู่สวัสดิการพนัก งานที่ขายโดยบริษัทประกันชีวิต

ลักษณะการประกันภัยแบบนี้จะเป็นการประกันชีวิตกลุ่มสวัสดิการพนักงาน ซึ่งจะมีทั้งประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ และประกันสุขภาพรวมอยู่ในอันเดียวกัน ซึ่งผลประโยชน์ที่จะได้รับจะไม่แตกต่างจากแบบสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพหมู่ แต่โดยทั่วไปประกันแบบนี้จะให้ความคุ้มครองเฉพาะพนักงานที่ทำงานเต็มเวลา อายุ 15-59 ปี และทั้งกลุ่มนั้นจะต้องมีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 40 ปี

4.ประกันสุขภาพรายบุคคลที่ขายโดยบริษัทประกันวินาศภัย

ผลประโยชน์ของประกันสุขภาพในรูปแบบนี้จะคล้ายกับสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพรายบุคคลที่ขายโดยบริษัทประกันชีวิต โดยที่ผู้เอาประกันไม่จำเป็นต้องซื้อประกันชีวิตร่วมด้วย

นอกจากนี้ ประกันสุขภาพในรูปแบบนี้อาจจะมีผลประโยชน์อื่นรวมอยู่ด้วย เช่น การตรวจสุขภาพประจำปี และการประกันอุบัติเหตุกรณีเสียชีวิต ขณะที่ผู้เอาประกันสามารถซื้อสัญญาความคุ้มครองเพิ่มเติมได้อีก เช่น การรักษาพยาบาลในฐานะ|ผู้ป่วยนอก แต่เมื่อต้องการความคุ้มครองเพิ่ม ก็จะต้องจ่ายเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน

5.ประกันสุขภาพหมู่ที่ขายโดยบริษัทประกันวินาศภัย

แม้ว่าโดยมากแล้วประกันสุขภาพในรูปแบบนี้มักขายควบประกันอุบัติเหตุ แต่ในปัจจุบันมีบริษัทประกันวินาศภัยบางแห่งที่ขายประกันสุขภาพหมู่แยกจากประกันอุบัติเหตุ

ขณะที่ประกันสุขภาพแบบนี้จะให้ผลประโยชน์ใน 4 หมวด คือ 1) ค่าห้อง ค่าอาหาร และค่าบริการในการพยาบาลทั่วไป 2) ค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ 3) ค่าธรรมเนียมผ่าตัด 4) ค่าเยี่ยมของแพทย์ในโรงพยาบาล แต่อาจจะมีความคุ้มครองนอกเหนือจาก 4 รายการนี้ได้อีก เช่น ค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ หรืออาจจะคุ้มครองไปถึงการผดุงครรภ์และคลอดบุตร

ทั้งนี้ หากจะจับแบบประกันสุขภาพทั้ง 5 แบบ มาจัดกลุ่มใหม่ จะสามารถแบ่งได้เป็นประกันสุขภาพแบบรายบุคคลกับประกันสุขภาพหมู่ และประกันสุขภาพที่ขายโดยบริษัทประกันชีวิตกับบริษัทประกันภัย

นอกจากประกันสุขภาพทั้ง 5 แบบนี้แล้ว บริษัทประกันโดยเฉพาะประกันวินาศภัยยังพยายามหา “ลูกเล่น” ใหม่ๆ ที่น่าสนใจมาจูงใจลูกค้าเป้าหมายอยู่เสมอ เช่น แบบประกันสุขภาพที่คุ้มครองโรคมะเร็งทั้งครอบครัว หรือการให้ผู้เอาประกันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบางส่วนเอง หรือการประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล

แต่ไม่ว่าจะเป็นการใช้หลักประกันแบบไหน สำหรับ “ประกันสุขภาพ” มีหลักการพื้นฐานอยู่ 4 ข้อ คือ

1.การเฉลี่ยความเสี่ยงระหว่างบุคคล

เพราะเราทุกคนไม่ว่าจะรวยหรือจน ต่างมีความเสี่ยงในการป่วยและบาดเจ็บกันทั้งนั้น แต่ความเสี่ยงของคนแต่ละคนไม่เท่ากัน ทั้งจากหลายๆ ปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นอายุ การใช้ชีวิต และพันธุกรรม นอกจากนี้ช่วงเวลาที่เราแต่ละคนจะเกิดเจ็บป่วยก็แตกต่างกันด้วย

ดังนั้น หลักการของการประกันสุขภาพ คือ การรวบรวมเงินจากคนหลายๆ คน ที่มีความเสี่ยงในการเจ็บป่วยไม่เท่ากันมารวมกันไว้ และนำไปจ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาล หรือแบ่งเบาภาระในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับคนที่เจ็บป่วย ทำให้ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการรักษาพยาบาลตามความจำเป็น

ในอีกนัยหนึ่งของหลักการนี้ คือ การถ่ายเทเงินจาก “ผู้มีความเสี่ยงน้อย” ไปให้ “ผู้มีความเสี่ยงมาก”

2.หลักการป้องกันความเสี่ยงภายในบุคคล

หลักการในข้อนี้ออกจะเป็นภาษาวิชาการสักหน่อย แต่โดยรวมๆ แล้วก็คือ เป็นการออมเงิน “ของเราเอง” เอาไว้สำหรับรายจ่ายด้านการรักษาพยาบาล “ของเราเอง” ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หรือเมื่ออายุมากขึ้น

รูปแบบของการออมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพนี้จะต้องแยกออกมาจากเงินออมเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ อย่างชัดเจน ซึ่ง ชุดวิชาการวางแผนประกันภัย บอกว่าในบางประเทศถึงกับกำหนดให้เป็น “การออมภาคบังคับ”

3.หลักการป้องกันความเสียหายที่รุนแรงและโอกาสเกิดน้อย

สำหรับหลักการในข้อนี้เราทำความรู้จักกันไปในสองตอนแรกของซีรีส์เรื่องนี้ โดยเป็นคำแนะนำสำหรับการเลือกวิธีการจัดการความเสี่ยงภัยที่เหมาะสม ซึ่งหากความเสี่ยงใดที่มีความรุนแรงของความเสียหายมาก แต่มีโอกาสเกิดขึ้นต่ำ วิธีการที่เหมาะสม คือ การโอนความเสี่ยงภัย|ไปให้คนอื่นรับผิดชอบ หรือก็คือการทำประกันนั่นเอง

เมื่อเป็นความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นไม่มาก แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง จึงต้องมีการรวบรวมเงินจากคนจำนวนมากๆ ในอัตราเบี้ยประกันที่ต่ำๆ เพราะโอกาสเกิดขึ้นน้อย และหากเกิดเหตุการณ์ขึ้น ซึ่งมีความเสียหายรุนแรง เราก็จะได้รับการชดเชยในจำนวนเงินที่เหมาะสมกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น

4.หลักการเจือจานรายได้ระหว่างบุคคล

หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การเฉลี่ยความเสี่ยงตามความสามารถในการจ่าย (ดูเหมือนว่ายิ่งเพิ่มความงุนงงให้มากขึ้น) แต่หลักการในข้อนี้ ถือว่าเป็น “การลดความเหลื่อมล้ำในสังคม” โดยเป็นการรวบรวมเงินจากคนจำนวนมากเช่นเดียวกับ หลักการเฉลี่ยความเสี่ยงระหว่างบุคคล

ทั้งนี้ หลักการเฉลี่ยความเสี่ยงระหว่างบุคคล จะรวบรวมเงินจากคนทุกคนในจำนวนเงินที่เท่ากันไม่ว่าจะยากดีมีจนสักแค่ไหน แต่สำหรับหลักการนี้จะรวบรวมเงินตาม “รายได้” ของผู้เอาประกัน โดยคนที่มีรายได้สูงจะต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนมากกว่าคนที่มีรายได้น้อย

เมื่อเป็นเช่นนี้ จะทำให้เงินจากคนที่มีรายได้มากถูกถ่ายเทไปให้คนที่มีรายได้น้อย และทำให้คนที่มีรายได้น้อยได้สิทธิรักษาพยาบาลในระดับเดียวกัน ซึ่ง “ประกันสังคม” ใช้หลักการนี้ แต่ละคนจะถูกหักเงินค่าประกันสังคมไม่เท่ากัน เพราะเงินเดือนไม่เท่ากัน นั่นเป็นเพราะประกันสังคมคิดเบี้ยประกันตามสัดส่วนของเงินเดือน

ประกันวินาศภัย

สำหรับการประกันวินาศภัยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ ประกันอัคคีภัย ประกันภัยรถยนต์ ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง และประกันภัยเบ็ดเตล็ด ซึ่งในประกันภัยเบ็ดเตล็ด ก็คือประกันภัยประเภทอื่นๆ ที่ไม่ใช้ประกันภัย 3 ประเภทแรก โดยประกันภัยสุขภาพถือว่ารวมอยู่ในประเภทของประกันภัยเบ็ดเตล็ดด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นลองไปทำความรู้จักกับประกันภัยเบ็ดเตล็ดที่น่าสนใจกันหน่อยจากที่มีอยู่ทั้งหมด 13 ประเภท

ประกันภัยกระจก เป็นการรับประกันการแตกของกระจก โดยบริษัทจะจ่ายเงินชดเชย หรือหากระจกมาแทนหรือซ่อมแซมกระจกที่แตกไป เพราะฉะนั้นน่าจะเหมาะกับอาคารที่ใช้กระจกเป็นวัสดุหลัก

ประกันภัยสำหรับผู้เล่นกอล์ฟ เป็นประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองต่อความสูญเสียและความเสียหายที่เกิดจากการเล่นกอล์ฟ โดยจะให้ความคุ้มครอง 3 ส่วน คือ 1) ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ที่ได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิต และความเสียหาย|ต่อทรัพย์สิน ที่เกิดจากการเล่นกอล์ฟของเรา 2) ความบาดเจ็บทางร่างกายของผู้เอาประกัน ที่เกิดจากการเล่นกอล์ฟ และ 3) อุปกรณ์การเล่นกอล์ฟ นอกจากนี้บางบริษัทยังจะให้รางวัลพิเศษในกรณีที่ผู้เอาประกันทำโฮลอินวันได้อีกด้วย

ประกันภัยสำหรับเจ้าบ้าน เป็นแบบประกันที่คุ้มครองครอบคลุมแทบจะทุกความต้องการสำหรับบ้าน ทั้งความเสียหายต่อตัวอาคาร ทรัพย์สินในอาคาร มีค่าใช้จ่ายกรณีต้องเปลี่ยนที่พักชั่วคราว ความรับผิดต่อคนภายนอก และการเสียชีวิตของผู้เอาประกัน แต่การประกันนี้จะไม่รวมความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วม

ประกันความรับผิดจากวิชาชีพ เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองต่อความเสียหายที่เกิดจากการปฏิบัติงานที่ผิดพลาด โดยมีอยู่ 6 ประเภท คือ แพทย์ (รวมทั้งทันตแพทย์) โรงพยาบาล เภสัชกร จักษุแพทย์ ร้านเสริมสวย และผู้ทำบัญชีและผู้สอบบัญชี

เพียงเท่านี้ก็น่าจะพอเป็นแนวทางในการวางแผนทำประกันได้บ้าง และอย่าลืมว่าไม่ใช่ทุกความเสี่ยงจะต้องใช้บริการจากการทำประกัน ขณะที่การทำประกันควรอยู่ในระดับที่พอเหมาะพอสม เพราะการทำประกันจนกระทั่งมีภาระการชำระเบี้ยจนเกินความสามารถคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025