แตกรสหลากสีสัน ปั้นมะขามเพิ่มกำไร
หลังจากล้มเหลวกับการทำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ทำให้ นิวัฒน์ และ พัชรี โฆวงศ์ประเสริฐ สองสามีภรรยาหันมายึดแนวเศรษฐกิจพอเพียงมองหาอาชีพใกล้ตัวฟื้นธุรกิจใหม่สู่บ้านมะขาม โดยก่อตั้งชุมชนบ้านมะขามในเขตสะพานสูง ซึ่งมีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่ให้เข้ามาช่วยทำงานทั้งแบบเต็มเวลาและเป็นอาชีพเสริม
หลังจากล้มเหลวกับการทำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ทำให้ นิวัฒน์ และ พัชรี โฆวงศ์ประเสริฐ สองสามีภรรยาหันมายึดแนวเศรษฐกิจพอเพียงมองหาอาชีพใกล้ตัวฟื้นธุรกิจใหม่สู่บ้านมะขาม โดยก่อตั้งชุมชนบ้านมะขามในเขตสะพานสูง ซึ่งมีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่ให้เข้ามาช่วยทำงานทั้งแบบเต็มเวลาและเป็นอาชีพเสริม
โดย...นราทิพย์ กวางเส็ง
หลังจากล้มเหลวกับการทำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ทำให้ นิวัฒน์ และ พัชรี โฆวงศ์ประเสริฐ สองสามีภรรยาหันมายึดแนวเศรษฐกิจพอเพียงมองหาอาชีพใกล้ตัวฟื้นธุรกิจใหม่สู่บ้านมะขาม โดยก่อตั้งชุมชนบ้านมะขามในเขตสะพานสูง ซึ่งมีชาวมุสลิมอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่ให้เข้ามาช่วยทำงานทั้งแบบเต็มเวลาและเป็นอาชีพเสริม
ช่วงเริ่มแรกเมื่อปี 2541 ทำงานกันในลักษณะเอสเอ็มอีชุมชนบ้านมะขาม เป็นเครือข่ายหลักในการเชื่อมโยงกับเครือข่ายชุมชนใน จ.เพชรบูรณ์ แหล่งผลิตมะขามหวานชั้นนำของประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกมะขามหวานและกลุ่มผู้ค้ามะขามหวาน ทำให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพมาป้อนสายการผลิตอย่างสม่ำเสมอ
ต่อมาในปี 2544 กลุ่มชุมชนบ้านมะขามจึงถูกจัดตั้งอย่างเป็นทางการในชื่อบริษัท สวนผึ้งหวาน มีพัชรี เป็นประธานกลุ่มจนถึงปัจจุบัน
บริษัทจะเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทมะขามหวานแปรรูป ภายใต้แบรนด์บ้านมะขาม เช่น มะขามคลุกเสวย มะขามอบแห้งไร้เมล็ด มะขามเปรี้ยวแซ่บ มะขามแช่อิ่มอบน้ำผึ้ง มะขามหยี 3 รส มะขามเคี้ยวหนึบ ทอฟฟี่มะขาม 5 รส มะขามจี๊ด เป็นต้น
อาศัยช่องทางการจำหน่ายในช่วงแรกผ่านร้านขายของฝากต่างๆ ต่อมาจึงหาช่องเข้าร้านสะดวกซื้อ อย่าง เซเว่น อีเลฟเว่น เนื่องด้วยเซเว่น อีเลฟเว่น มีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนสินค้าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี บริษัทจึงได้พัฒนาสินค้าร่วมกับบริษัท ซีพี ออลล์ เกิดเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายจากมะขาม
มะขามคลุกเสวยตราผึ้งหวานเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่นำเข้าไปวางจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น กว่า 1,000 สาขา เมื่อปี 2545 ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันผลิตภัณฑ์จากบ้านมะขามวางจำหน่ายผ่านช่องทางดังกล่าวกว่า 5,000 สาขา ทั่วประเทศ
ในแง่รายได้ของบ้านมะขาม นิวัฒน์ กล่าวว่า มีรายได้หลักมาจากการจำหน่ายผ่านช่องทางร้านเซเว่น อีเลฟเว่น 60–70% ช่องทางห้างสรรพสินค้าทั่วไปในรูปแบบคีออสก์ 20–30% และส่งออกผ่านตัวแทนไปยังต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย 10% ซึ่งในปีที่ผ่านมาบ้านมะขาม มีรายได้ราว 60 ล้านบาท
นอกจากนี้ หลังจากบ้านมะขามจำหน่ายสินค้าผ่านร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น ส่งผลให้มีความต้องการสินค้าของบริษัทเป็นจำนวนมาก จึงต้องลงทุนเพิ่มเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน ในการสร้างโรงงานการผลิตที่เขตสะพานสูง และซื้อเครื่องจักร จนได้รับมาตรฐานตามหลักสากล เช่น GMP และ HACCP เมื่อปีที่ผ่านมา
แผนดำเนินงานต่อไปของบ้านมะขาม นิวัฒน์ ระบุว่า จะพยายามทำให้ชื่อบ้านมะขามมีชื่อเสียงอยู่ได้ยาวนาน ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ โดยสร้างความแตกต่างทั้งด้านรสชาติ และรูปแบบจากคู่แข่งที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้บริษัทเลือกแปรรูปผลิตภัณฑ์มะขาม แทนที่จะขายมะขามหวานในรูปของฝักสด เพราะใครๆ ก็ขายได้ แต่มีข้อจำกัดของการเก็บผลผลิตไว้ขายให้ได้นอกฤดูกาล เนื่องจากมะขามหวานเกิดเชื้อราได้ง่าย อีกทั้งการขนส่งก็เสียหายมาก การแปรรูปจึงลดอุปสรรคได้มากกว่า แถมสร้างมูลค่าเพิ่มได้ง่าย
นับจากนี้ไปบริษัทจะผลิตสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องให้ครอบคลุมทุกกลุ่มสินค้า อาทิ ผลิตภัณฑ์กลุ่มขนม ได้แก่ กล้วยกรอบแก้วไส้มะขาม พายเค้กไส้มะขาม ทาร์ตมะขาม หมี่กรอบซอสมะขาม แทมมารินด์ครีมชีสพาย แทมมารินด์คุกกี้ น้ำพริกมะขาม น้ำพริมมะขามป่า น้ำพริกมะขามอ่อน เป็นต้น
พร้อมกับใช้กลยุทธ์แตกไลน์ช่องทางการจำหน่ายใหม่ คือ ร้านบ้านมะขาม ที่เป็นร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์บ้านมะขาม ทั้งหมด ทุกผลิตภัณฑ์ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายทุกเพศ ทุกวัย โดยจัดมุมเครื่องดื่มหลากหลายประเภท เช่น กาแฟ ชา และน้ำผลไม้ อย่างน้ำมะขาม น้ำมะขามโซดา และมีที่นั่งสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ
ร้านต้นแบบขณะนี้เปิดแล้วที่เขตสะพานสูง ใกล้กับโรงงานบ้านมะขาม จัดเป็นร้านทดลองตลาด พบว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าทั่วไป ช่วงปีใหม่สามารถทำยอดขายได้ถึง 1 ล้านบาท
ดังนั้น บริษัทจึงมีแผนจะขยายสาขาร้านบ้านมะขาม 45 สาขา ในปีนี้ แบ่งเป็นร้านที่ลงทุนเอง 4 สาขา และร้านของผู้ที่สนใจในรูปแบบแฟรนไชส์ 1 สาขา โดยจะขยายสาขาให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ในกรุงเทพฯ อาทิ ปิ่นเกล้า บางนา สีลม รัชดาฯ ซึ่งจะต้องลงทุนในแง่ของการตกแต่งและสินค้าภายในร้านประมาณ 2 แสนบาท กับขนาดพื้นที่ 30 ตารางเมตร โดยเงินลงทุนแต่ละพื้นที่จะแตกต่างกันไป
นิวัฒน์ กล่าวอีกว่า บ้านมะขามยังมีแผนจะโกอินเตอร์ด้วย วางเป้าหมายไปที่สหรัฐ จะทำผ่านตัวแทนจำหน่ายที่บริษัทจะต้องคัดเลือกอีกที แต่จะมีความเป็นไปได้มากแค่ไหนก็อยู่ที่ความสามารถในการบริหารจัดการกับวัตถุดิบให้ได้ก่อน โดยเฉพาะการดูแลให้วัตถุดิบมีอย่างสม่ำเสมอ ไม่ขาดแคลน เนื่องจากปัจจุบันมีพืชพันธุ์อื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าการปลูกมะขาม เช่น ยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง ทำให้ชาวสวนมะขามพากันล้มต้นมะขามไปปลูกยางพาราแทน
บริษัทจึงกำลังตัดสินใจซื้อที่ดินสำหรับปลูกมะขาม หรือซื้อสวนมะขามจากเกษตรกร เพื่อป้องกันวัตถุดิบขาดแคลน ซึ่งแต่ละปีบริษัทจะต้องใช้มะขามประมาณ 2,000 ตัน
งานนี้ก็ต้องเอาใจช่วยกันเต็มที่ เพื่อให้มะขามบ้านเราได้โกอินเตอร์กันจริงๆ จังๆ เพื่อตอกย้ำสินค้าอาหารบ้านเรานำหน้าไม่เป็นสองรองใคร


