ภาษีบุหรี่อัตราเดียว "แก้เกมราคา-เพิ่มเป็นธรรม-ลดแรงจูงใจนักสูบ"
TDRI ชี้ภาษีบุหรี่อัตราเดียวช่วย ปิดเกมกดราคา แก้บิดเบือนตลาด หนุนแข่งขันเป็นธรรม วางฐานขึ้นภาษี และลดแรงจูงใจนักสูบใหม่ แนะทำควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า–ยาเส้น สู่ระบบภาษีเพื่อสุขภาพสังคมที่แท้จริง
KEY
POINTS
- กระทรวงการคลังเตรียมเสนอเปลี่ยนโครงสร้างภาษีบุหรี่จากระบบ 2 อัตรา เป็น "อัตราเดียว" เพื่อแก้ปัญหากลยุทธ์ด้านราคาและสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมมากขึ้น
- ระบบภาษี 2 อัตราในปัจจุบันทำให้เกิดการบิดเบือนตลาด ส่งผลให้โรงงานยาสูบของไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้แก่บุหรี่นำเข้าที่สามารถปรับลดราคาลงมาแข่งขันได้
- การใช้ภาษีอัตราเดียวถูกมองว่าเป็นก้าวแรกที่สำคัญ ซึ่งจะนำไปสู่การปรับขึ้นภาษีในอนาคต เพื่อลดแรงจูงใจของผู้สูบและลดผลกระทบต่อสังคมอย่างยั่งยืน
หลังจากที่กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่ากำลังเร่งสรุปข้อเสนอปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่จากระบบ “2 อัตรา (2 Tiers)” ไปสู่ “อัตราเดียว” (Single Rate) เพื่อส่งเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในวันที่ 31 มกราคม 2568 หรือก่อนการยุบสภา ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้สะท้อนความเห็นกับ โพสต์ทูเดย์ ว่า มองว่าการเปลี่ยนเป็นภาษีอัตราเดียวเป็นก้าวที่ถูกต้อง เพราะโครงสร้างภาษีแบบ 2 อัตรา ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้บิดเบือนระบบราคาและการแข่งขันในตลาดบุหรี่ ซึ่งเชื่อว่าโครงสร้างภาษีใหม่จะเป็น “สะพาน” นำไปสู่การปรับขึ้นภาษีในอนาคต เพื่อลดการสูบและผลกระทบต่อสังคมอย่างยั่งยืน
“อัตราเดียว” ลดกลยุทธ์ราคา-ลดความเหลื่อมล้ำในตลาด
ดร.นณริฏ ชี้ว่า โดยหลักการ “สินค้าประเภทเดียวกันควรเสียภาษีในอัตราเดียวกัน” การมี 2 อัตราในปัจจุบันเปิดช่องให้ผู้ประกอบการวางกลยุทธ์ด้านราคา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจัดเก็บในอัตราสูง จนกระทบการแข่งขันระหว่างบุหรี่ในประเทศและบุหรี่นำเข้า ทำให้โรงงานยาสูบ (ยสท.) สูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้บุหรี่นอก
รายได้รัฐอาจลด แต่ไม่ใช่ตัวชี้วัดหลัก ภาษีบุหรี่มีไว้ “ลดการสูบ”
การปรับเป็นอัตราเดียวอาจไม่ใช่ปัจจัยหลักให้รายได้รัฐลดลง เพราะรายได้ลดมาจากการบริโภคลดลงตามราคาที่ปรับขึ้นมากกว่า แม้ ยสท.จะมีรายได้และกำไรลดลงจากเสียส่วนแบ่งตลาด แต่บุหรี่นอกเสียภาษีเพิ่มขึ้นมาทดแทนบางส่วน โดยย้ำว่า เป้าหมายภาษีบุหรี่ไม่ใช่การหารายได้ แต่เพื่อลดการสูบ และนำเงินภาษีมาชดเชยต้นทุนสุขภาพและสังคมในอนาคต
“ผมคิดว่าเราไม่ควรเอารายได้ของภาครัฐเป็นตัวตั้ง เพราะบุหรี่เป็นสินค้าที่ไม่พึงประสงค์ต่อสังคม ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งผู้สูบและผู้อื่น การเก็บภาษีจึงไม่ใช่เพื่อสร้างรายได้ให้กับภาครัฐ แต่เพื่อลดแรงจูงใจไม่อยากให้สูบเลย หรือลดปริมาณการบริโภคลง รวมทั้งต้องการรายได้ภาษีเพื่อมาชดเชยแก้ไขปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นจากการสูบบุหรี่”
สิ่งที่ควรจะเป็น คือ การเก็บภาษีอัตราเดียวเพื่อลดการวางกลยุทธ์การแข่งขันให้ทุกรายกำหนดราคาตามต้นทุน และเริ่มปรับภาษีให้อัตราสูงมากขึ้นเพื่อให้สะท้อนถึงปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นจากการสูบบุหรี่ ทั้งที่เป็นผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวของผู้สูบและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสูดควัน ซึ่งเป็นภาระงบประมาณในการรักษาในอนาคต
ปรับอัตราเดียวแก้ได้แค่ "ชั้นแรก" ต้องทำควบหลายมาตรการ
TDRI มองว่า โครงสร้างภาษีแบบอัตราเดียวเป็นเพียงการแก้ "เปราะแรก" คือ ปิดช่องว่างการกดราคาหนีภาษีสูง แต่ปัญหานักสูบหน้าใหม่ต้องใช้หลายมาตรการควบคู่ ได้แก่ ปรับเพิ่มอัตราภาษีบุหรี่ให้สูงอย่างมีนัยยะ ,เพิ่มภาษียาเส้น (ผู้มีรายได้น้อยอาจหันไปสูบแทน) ,เร่งแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าและสินค้าบุหรี่รูปแบบใหม่ เช่น บันรากุ ดังนั้น หากทำเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง อาจทำให้ผู้บริโภคเปลี่ยนไปสูบสินค้าทดแทนราคาถูกกว่าแทน
แทรกแซงตลาดน้อยสุด สร้างการแข่งขันเท่าเทียม
ภาษีแบบอัตราเดียวทำให้ตลาดเป็นธรรมขึ้นระหว่างผู้ผลิตในประเทศกับต่างประเทศ ในกรณีที่สินค้ามีลักษณะไม่พึงประสงค์อย่างบุหรี่ หากโครงสร้างตลาดนำไปสู่การผูกขาดและทำให้ราคาสูงขึ้น ก็อาจช่วยลดปริมาณการสูบ ซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสุขภาพสังคมโดยรวม
WHO หนุนขึ้นภาษียาสูบ ราคาต้องแพงพอถึงจะลดการสูบได้จริง
TDRI เห็นสอดคล้องกับองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ระบุว่า การขึ้นภาษีต้องมากพอสมควรเพื่อให้ผู้สูบลดการบริโภค จึงเห็นว่าการเปลี่ยนเป็น “ราคาเดียว” เป็นสิ่งจำเป็น แต่ต้องควบคู่กับการ “เพิ่มอัตราภาษี” ให้สูงขึ้นด้วย
บทเรียนจากการปรับภาษีปี 2560 - โครงสร้าง 2 Tiers ทำให้ตลาดบิดเบือน
ข้อมูลจาก การยาสูบแห่งประเทศไทย ชี้ว่า การปรับโครงสร้างภาษียาสูบครั้งใหญ่ปี 2560 จากระบบ “อัตราเดียว” สู่ “2 อัตรา (2 Tiers)” ตามราคาขายปลีก มีผลกระทบสำคัญ
โครงสร้างภาษี 2 Tiers (เริ่มใช้ปี 2560)
1.บุหรี่ที่มีราคาขายปลีกไม่เกิน 60 บาทต่อซอง ต้องเสียภาษีในอัตรา 20% ของราคาขายปลีก และภาษีนี้จะปรับเพิ่มเป็น 40% ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป
2.บุหรี่ที่มีราคาขายปลีกสูงกว่า 60 บาทต่อซอง ต้องเสียภาษีมูลค่าในอัตรา 40% ของราคาขายปลีกแนะนำ ควบคู่กับภาษีตามปริมาณ 1.20 บาทต่อมวน หรือ 24 บาทต่อซอง
ผลกระทบต่อโครงสร้างตลาด
การปรับโครงสร้างภาษีรอบล่าสุด ทำให้ภาพรวมตลาดบุหรี่ที่เคยแยกเป็น 3 ระดับราคา คือ ประหยัด, ปกติ, พรีเมียม ถูกกดเหลือเพียง 2 กลุ่ม คือ ประหยัด และ พรีเมียม เท่านั้น
- บุหรี่ราคาต่ำในประเทศทยอยขยับขึ้น อยู่ราวซองละ 58–60 บาท ขณะที่บุหรี่ต่างประเทศบางยี่ห้อกลับ ปรับลดราคาได้
- การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ โรงงานยาสูบสูญเสียส่วนแบ่งตลาด ต่อเนื่อง ฉุดรายได้ กำไรสุทธิ และเงินนำส่งรัฐ ลดลงตามไปด้วย
- ภาครัฐยังต้อง กันงบประมาณเข้าไปพยุงเกษตรกรใบยาสูบ หลังต้องลดโควตารับซื้อ
- ฝั่งผู้บริโภคก็เริ่ม ขยับไปหาสินค้าทดแทนราคาถูกกว่า ทั้งบุหรี่เถื่อน ยาเส้น และบุหรี่ไฟฟ้า ส่งผลให้ตลาดสินค้าผิดกฎหมาย ขยายตัวเด่นชัด
ผลกระทบของการปรับโครงสร้างภาษี
ราคาบุหรี่ไทยถูกปรับสูงขึ้น ระบบ 2 อัตรา ทำให้บุหรี่ราคาถูกของยสท.จากเดิม 40-50 บาท ต้องขยับเป็น 60 บาทต่อซอง ขณะที่บุหรี่นำเข้าบางยี่ห้อในกลุ่มราคากลาง (เดิม 72 บาท) กลับ ลดราคาลงมาเหลือ 60 บาท ทำให้บุหรี่นำเข้ากลุ่มราคาต่ำได้เปรียบในการแข่งขัน ส่งผลให้กำไรของยสท.จากเดิมปีละ 8-9 พันล้านบาท ลดลงเหลือเพียง ไม่กี่ร้อยล้านบาท
ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรม ฐานผู้สูบรายได้น้อย ซึ่งเคยเป็นลูกค้าหลักของยสท. หันไปซื้อสินค้าที่ถูกกว่า เช่น บุหรี่นำเข้าราคาต่ำ ยาเส้น บุหรี่ไฟฟ้า และบุหรี่เถื่อน ทำให้ยอดขายยสท.ลดลงต่อเนื่อง
เกษตรกรได้รับผลกระทบ เพราะยสท.ต้องทยอยลดโควตารับซื้อใบยาสูบ ส่งผลให้รายได้เกษตรกรหายไปรวมกว่า 1,262 ล้านบาท และทำให้รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณเข้าไปอุดหนุนชาวไร่เพิ่มเติม
การสูญเสียส่วนแบ่งตลาดของ ยสท.
- บุหรี่นอก กลุ่มราคาระดับกลาง (ซองละ 72 บาท) ลดราคาลงมาเหลือเท่ากับบุหรี่ราคาถูกของ กยส. (ซองละ 60 บาท)
- ขณะที่บุหรี่ กยส. ราคาถูก (ซองละ 40-50 บาท) ต้องขยับราคาขายเป็นซองละ 60 บาท
การเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งตลาดของคู่แข่ง
บริษัทฟิลลิป มอร์ริสได้ส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 31.5%
เป็น 47.6%ในขณะที่ ยสท. มีส่วนแบ่งการตลาดลดลงจาก 65.9% เหลือ 50%


