S&P คงอันดับเครดิตไทย BBB+ มุมมองเสถียรภาพ แรงหนุนจากนโยบายคลัง
S&P คงอันดับเครดิตไทยที่ BBB+ มุมมองเสถียรภาพ คาดเศรษฐกิจปี 69 โตเฉลี่ย 2.3 % รับแรงหนุนจากนโยบายการคลัง การลงทุนรัฐ–EEC และท่องเที่ยว ฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุน
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P Global Ratings ได้คงอันดับเครดิตประเทศไทยที่ BBB+ และคงมุมมองเสถียรภาพ (Stable Outlook) สะท้อนความเชื่อมั่นต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ยึดหลักความโปร่งใส รับผิดชอบ และเน้นวินัยการคลัง
โดย S&P ประเมินว่าเศรษฐกิจไทย(จีดีพี)ใน ปี 2568 จะขยายตัว 2.3% และ ปี 2569 ขยายตัว 2.0% จากการขับเคลื่อนจากมาตรการการคลังที่ช่วยประคองเศรษฐกิจท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและเสถียรภาพการเมืองภายในประเทศ พร้อมประเมินว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยปี 2568 อยู่ที่ และปี 2571 อยู่ที่ 2.3% โดยรายได้ต่อหัวปี 2568 จะเพิ่มจาก 8,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นราว 9,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วนหนึ่งจากเงินบาทแข็งค่า
นอกจากนี้ เห็นว่ารัฐบาลเดินหน้าการลงทุนตามยุทธศาสตร์ชาติอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ซึ่งเป็นแรงขับเศรษฐกิจสำคัญ ตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2567 การลงทุนภาครัฐเริ่มฟื้นตัวแข็งแกร่ง ขณะที่รัฐวิสาหกิจและโครงการร่วมลงทุน PPP จะช่วยเร่งลงทุนขนาดใหญ่ ลดภาระงบประมาณรัฐ และยกระดับศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว
แม้ช่วง ม.ค.–ก.ย. ปี 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 24.1 ล้านคน ลดลง 7.6% จากปีก่อน แต่ S&P มองว่าท่องเที่ยวไทยยังเป็นแกนหลักของการฟื้นตัวในปี 2569 จากมาตรการส่งเสริม เช่น เพิ่มความปลอดภัย สิทธิประโยชน์นักท่องเที่ยว และการทำตลาดต่างประเทศต่อเนื่อง เพื่อดึงดีมานด์กลับมา
สำหรับ หนี้ภาครัฐสุทธิต่อจีดีพี ปี 2568–2569 จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3% จากการใช้นโยบายขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออก–ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก รวมถึงโครงการ คนละครึ่งพลัส เพื่อพยุงกำลังซื้อภายในประเทศ
ไทยยังคงมีฐานะการเงินต่างประเทศแข็งแรง โดย ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดเกินดุลเฉลี่ย 2.5% ของ GDP ในช่วงปี 2568–2571 และสถานะการลงทุนระหว่างประเทศสุทธิด้านสินทรัพย์อยู่ที่ประมาณ 27% ของภาระชำระเงินตามดุลบัญชีเดินสะพัด ขณะเดียวกันไทยยังมีเงินสำรองระหว่างประเทศในระดับสูงและหนี้ต่างประเทศต่ำ ทำให้เสถียรภาพการเงินโดยรวมยังแข็งแรง
ปัจจัยที่ S&P ใช้ติดตามการจัดอันดับในอนาคต 3 ประเด็นหลัก ได้แก่
1.ความสามารถฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเทียบกับประเทศรายได้ใกล้เคียง
2.แนวโน้มรายได้ต่อหัวของประชาชน
3.ความคืบหน้าการเข้าสู่ สมดุลการคลัง (Fiscal Consolidation) และเสถียรภาพทางการเมืองที่มีผลต่อความต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจ
จากผลการประเมินอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการดำเนินงานบนพื้นฐานของความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด ผ่านการขับเคลื่อนนโยบาย “Quick Big Win” ที่ประกอบด้วย 5 เสาหลัก ได้แก่ การกระตุ้นเศรษฐกิจ การลดภาระประชาชน การส่งเสริม SMEs การเพิ่มการออมให้ประชาชน และการลงทุนเพื่ออนาคต โดยมีมาตรการและโครงการที่ได้ทยอยออกมาแล้ว อาทิ คนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน การเร่งการเบิกจ่ายโครงการลงทุนของภาครัฐ ปิดหนี้ไวไปต่อได้ เป็นต้น โดยทั้ง 5 เสาหลัก ได้แก่ 1.กระตุ้นเศรษฐกิจ 2.ลดภาระประชาชน 3.ส่งเสริม SMEs 4.เพิ่มการออม และลงทุนเพื่ออนาคต มี “ฐานราก” ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือการรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ พร้อมมาตรการสำคัญที่ออกแล้ว เช่น คนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน การเร่งเบิกจ่ายโครงการลงทุน และมาตรการปิดหนี้ไว ซึ่งทั้งหมดตั้งอยู่บน “ฐานรากของวินัยการคลัง”
นายเอกนิติกล่าวว่า ไทยยังมีเสถียรภาพด้านการเงินต่างประเทศที่เข้มแข็ง ระบบธนาคารมั่นคง และรัฐบาลได้วางกรอบ แผนการคลังระยะปานกลาง (MTFF) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งสถาบันจัดอันดับและประชาชน ผ่าน 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่ 1.กำหนดทิศทางรายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะให้ชัดเจน 2.เพิ่มกฎเกณฑ์ ความโปร่งใสทางการคลัง รวมถึงเปิดเผยต้นทุนและรายได้สูญเสียจากสิทธิประโยชน์ภาษี และ3.กำกับมาตรการกึ่งการคลังตามมาตรา 28 ให้มีความชัดเจนและควบคุมได้ โดย กรอบดังกล่าวจะช่วยวางรากฐานเศรษฐกิจระยะยาว เพิ่มความยั่งยืน และเสริมความเชื่อมั่นนักลงทุนในอนาคต


