posttoday

ครม.ศก. เคาะ มาตรการแก้หนี้ต่ำกว่า 1 แสนบาท นำร่องเฟสแรก 2.3 ล้านคน

03 พฤศจิกายน 2568

ครม.ศก. เห็นชอบโอนหนี้รายย่อย ต่ำกว่า 1 แสนบาท เข้าบริษัท AMC ปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน ช่วยลูกหนี้เดือดร้อน ก่อน 30 ก.ย. 68 นำร่องเฟสแรก 2.3 ล้านคน

KEY

POINTS

  • ครม.เศรษฐกิจอนุมัติมาตรการแก้ปัญหาหนี้เสีย (NPL) สำหรับลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้รวมกันไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ณ วันที่ 30 กันยายน 2568
  • แนวทางการช่วยเหลือหลักคือการโอนหนี้ไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ในเงื่อนไขผ่อนปรน และให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) มีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของตนเองเพิ่มเติม
  • ลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับ "รหัสพิเศษ" ในเครดิตบูโร ทำให้สามารถขอสินเชื่อใหม่ได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องรอ 3 ปี หากมีประวัติการชำระหนี้ที่ดี

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.) ได้เห็นชอบในหลักการของมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนรายย่อยที่มีวงเงินต่ำกว่า 100,000 บาทต่อราย โครงการนี้มุ่งเป้าแก้ไขหนี้เสีย (NPLs) ที่เป็นภาระหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน โดยครอบคลุมหนี้ที่เกิดขึ้นในอดีตจนถึง ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 

กลุ่มเป้าหมายหลักคือ ลูกหนี้ที่มีหนี้รวมกับผู้ให้บริการทางการเงินทุกแห่งรวมกันไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย กลุ่มนี้มีจำนวนรวมประมาณ 3.4 ล้านราย หรือ 4.76 ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้รวมประมาณ 122,000 ล้านบาท ซึ่งคนเหล่านี้มักมีภาระหนี้ที่หนักมาก ผ่อนชำระไม่ไหว และถูกทวงหนี้จากหลายสถาบันการเงิน

แนวทางการช่วยเหลือเฟสแรก แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก
1. การแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้โดย AMC
• กลุ่มเป้าหมาย คือ ลูกหนี้ที่อยู่กับธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) ลูกหนี้ของบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของ ธพ. และลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) จำนวน 1.56 ล้านบัญชี เป็นจำนวนลูกหนี้ทั้งหมด 1.25 ล้านคน คิดเป็นภาระหนี้กว่า 43,600 ล้านบาท 
• กลไกล คือ หนี้จะได้รับการขายและโอนให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ที่ได้รับมอบหมาย ได้แก่ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) หรือ บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (Ari-AMC)
• เงื่อนไขผ่อนปรน โดย  AMC จะนำหนี้มาปรับโครงสร้างหนี้ผ่านการเสนอเงื่อนไขที่ผ่อนปรนและเหมาะสมกับความสามารถของลูกหนี้มากขึ้น เช่น การลดดอกเบี้ย, การไม่คิดดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียม, หรือการจ่ายชำระเพียงบางส่วนเพื่อปิดบัญชี  แนวทางนี้จะบริหารจัดการหนี้แบบรวมศูนย์

2. การช่วยเหลือเพิ่มเติมโดย SFIs ดำเนินการเอง

  • กลุ่มนี้มีความเปราะบางมากกว่าลูกหนี้ของธพ. โดย มีจำนวน 790,000 บัญชี เป็นจำนวนลูกหนี้ทั้งหมด 700,000 คน คิดเป็นภาระหนี้กว่า 18,800 ล้านบาท 

• มาตรการเฉพาะ: SFIs จะมีมาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นการเฉพาะเพื่อให้เหมาะสมกับศักยภาพของลูกหนี้ มาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม ได้แก่ การชำระบางส่วนเพื่อปิดบัญชี, การลดเงินต้น, การยกเว้นดอกเบี้ยทั้งหมด รวมถึงการใช้มาตรการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ที่ผ่อนปรนมากกว่าเกณฑ์ปกติของธนาคาร และการปิดบัญชีและตัดเป็นหนี้สูญสำหรับลูกหนี้ขาดศักยภาพ 

"การดำเนินการในสองส่วนนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่จะทำให้ภาครัฐมีโครงการเพื่อช่วยลูกหนี้ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และช่วยเหลือลูกหนี้ให้หลุดพ้นจากภาระหนี้ต่าง ๆ ได้โดยเร็ว ซึ่งในการดำเนินการทั้งสองส่วนนี้คาดว่ามีบัญชีลูกหนี้ที่เข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือประมาณ 2.36 ล้านบัญชี คิดเป็นภาระหนี้ประมาณ 62,400 ล้านบาท นายเอกนิติ กล่าว 

นอกจากนี้ ในระยะต่อไปจะมีการพิจารณาขยายขอบเขตการช่วยเหลือไปยังลูกหนี้ของผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือ Non-banks ตามหลักการเดียวกัน เพื่อให้นโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคประชาชนครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาทั้งหมด

ทั้งนี้ จะรายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบต่อไปในวันที่ 11 พฤศจิกายน นี้

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การแก้ไขหนี้จะทำอย่างผ่อนปรนมากๆ โดยย้ำว่าจะเป็น "มาตรการเพียงครั้งเดียว" เพื่อป้องกันการจงใจเป็นหนี้และป้องกันการเสียวินัยทางการเงินต่อไป

ทั้งนี้ ลูกหนี้ ที่โอนเข้ามาจะได้ รหัสพิเศษในเครดิตบูโร ซึ่งเป็น รหัส 16 รหัสนี้สำคัญเนื่องจาก ไม่จำเป็นต้องรอให้มีประวัติการเงินที่ดีครบ 3 ปี เพื่อขอสินเชื่อใหม่

"ถ้าลูกหนี้สามารถผ่อนดี อาจจะเป็น 1 เดือน 3 เดือน หรือ 6 เดือน ถ้าสถาบันการเงินเห็นว่าเขามีศักยภาพที่กลับมาได้จริง ๆ สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทันที ซึ่งถือเป็นการให้โอกาสลูกหนี้ให้กลับมาฟื้นตัวได้จริงและรวดเร็ว" นายลวรณ กล่าว

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ปัจจุบันมีลูกหนี้รายย่อยที่มียอดหนี้ไม่ถึง 100,000 บาท คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของจำนวนบัญชีหนี้เสีย (NPL) ทั้งหมด รวมกว่า 4.76 ล้านบัญชี ธปท. จึงเตรียมดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวใน เฟสแรก โดยจะเริ่มจากลูกหนี้จำนวน 1.9 ล้านบัญชี ที่จะถูกโอนเข้าสู่การบริหารจัดการโดย SAM และ Ari-AMC ซึ่งจะรับโอนเฉพาะหนี้ที่เป็น NPL ณ วันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ให้มีความยืดหยุ่น ช่วยให้ลูกหนี้สามารถกลับมามีศักยภาพทางเศรษฐกิจได้อีกครั้ง

สำหรับเฟสแรกนี้ ครอบคลุมหนี้รวมประมาณ 44,000 ล้านบาท โดย ไม่ใช้เงินงบประมาณหรือเงินจากกระทรวงการคลัง แต่จะใช้เงินจากโครงการ “คุณสู้เราช่วย” ซึ่งมาจากส่วนลดเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF ที่ลดจาก 0.46% เหลือ 0.23% ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยเงินส่วนต่างที่ได้ถูกกันไว้ในบัญชีพิเศษและจะนำมาใช้ในโครงการนี้

"ส่วนการกำหนดราคาซื้อหนี้จะอิงจาก ราคาประมาณการที่ธนาคารพาณิชย์และหน่วยงานที่รับโอนตกลงร่วมกัน พร้อมวางโครงสร้างแบ่งสัดส่วนการเรียกเก็บเงินในอนาคต ทั้งนี้ ยังไม่เปิดเผยตัวเลขราคาซื้อหนี้ที่แน่ชัด แต่ยืนยันว่าอยู่ในระดับที่เป็นไปตามมาตรฐานตลาด" นายวิทัย กล่าว

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ในฐานะผู้แทนสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นความร่วมมือที่ตั้งใจจะให้โอกาสกับลูกหนี้อย่างแท้จริง และมาตรการนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เน้นให้ความสำคัญกับโครงสร้างและให้ ลูกหนี้เป็นจุดศูนย์กลาง  และดำเนินการบนหลักการเดียวกันคือ Level Play Field นอกจากนี้ การโอนหนี้เข้า AMC จะใช้ราคามาตรฐานที่ตกลงกันระหว่างธนาคารพาณิชย์ และจะมีโครงสร้างการแบ่งปันการเรียกเก็บเงิน (Revenue Sharing) ในอนาคต หากสามารถเรียกเก็บหนี้ได้

ข่าวล่าสุด

LH Bank ออกผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก “LHB OPD SAVER”