เอกนิติ งัด "TFF กู้ชาติ" ลงทุนพลังงานแห่งอนาคต ผ่าวิกฤตงบประมาณ
รมว.คลังยอมรับ "งบลงทุนไม่พอ" ดึง TFF แปลงรายได้ Floating Solar กฟผ. ระดมเงินใหม่ลงทุนพลังงานแห่งอนาคต เพิ่มรายได้การคลัง ไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ
KEY
POINTS
- กระทรวงการคลังเสนอใช้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFF) เป็นเครื่องมือระดมทุนเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตงบประมาณที่มีจำกัด
- TFF จะถูกนำมาใช้กับการลงทุนด้านพลังงานแห่งอนาคต โดยการแปลงรายได้ในอนาคตจากโครงการโซลาร์ลอยน้ำของ กฟผ. มาเป็นเงินสดเพื่อนำไปลงทุนต่อ
- กลยุทธ์นี้ช่วยให้รัฐบาลสามารถลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ได้โดยไม่เพิ่มภาระหนี้สาธารณะและไม่กระทบต่องบประมาณที่ตึงตัว
คำกล่าวของ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้เปรียบเทียบสถานการณ์เศรษฐกิจไทย ในตอนนี้ว่า "เสมือนรถยนต์เศรษฐกิจที่กำลังขับลงเหว ถ้าเราไม่หยุดการดิ่งเหวนี้ เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวยาก” พร้อมชี้ว่า ปัญหาเศรษฐกิจไทยในวันนี้ไม่ได้อยู่ที่แค่ความเร็วในการกระตุ้นระยะสั้น แต่คือ การขาดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่เพื่อรองรับ New Economy อย่างแท้จริง
ที่ผ่านมา ประเทศไทยเติบโตจาก "บุญเก่า" ที่มาจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ในยุคปี 2580 และปี 2523 เช่น Eastern Seaboard แต่ปัจจุบัน อัตราการลงทุนต่อ GDP ของประเทศลดลงฮวบฮาบ จากเดิมประมาณ 40% เหลือเพียงกว่า 20%
สถานการณ์ระยะสั้นก็ไม่สู้ดีนัก เพราะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะ "ทรุดหนัก" โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ ซึ่งสภาพัฒน์ฯ คาดการณ์ว่าจะเติบโตเพียง 0.3% เท่านั้น
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ ปัญหาทางการคลังที่ตึงตัวอย่างยิ่ง นายเอกนิติยอมรับว่า "งบลงทุนไม่เหลือแล้ว" โดยยกตัวอย่างว่า จากงบประมาณ 100 บาท 70 บาท ถูกใช้ไปเป็นงบประมาณประจำ เกือบ 10-20 บาท ถูกใช้ไปในการจ่ายต้นและดอกเบี้ยหนี้ ทำให้เงินที่เหลือสำหรับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ แทบไม่พอ
ดังนั้น โจทย์สำคัญที่ทีมเศรษฐกิจต้องทำคือ "หยุดการดิ่งเหว" และหาทางสร้าง "The Next New Economy" โดยไม่ทำให้ "ฐานรากทางการคลัง" สั่นคลอน
เพื่อรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว ทีมเศรษฐกิจจึงได้วางกรอบนโยบายหลักไว้ภายใต้นโยบาย "กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว" ซึ่งหมายถึงการฟื้นฟูในระยะสั้น แต่เน้นการลงทุนที่สร้างผลลัพธ์ในระยะยาว และต้องกระจายการเติบโตอย่างทั่วถึงเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ
เป้าหมายคือการสร้าง "บ้านใหม่" ให้เมืองไทย โดยมี 5 เสาหลัก และ 1 ฐานราก ที่เข้มแข็ง
1. ฟื้นเศรษฐกิจระยะสั้น หยุดการดิ่งเหวทันที
2. แก้หนี้ครัวเรือน จัดการหนี้ที่สะสมมานาน เช่น การดึงหนี้เสียมาบริหารจัดการเพื่อปรับลดต้นเลื่อนดอก
3. ดูแล SME ให้สภาพคล่องและส่งเสริมการปรับตัวสู่ธุรกิจยุคใหม่ (Business Transformation).
4. ระบบการออม สร้างระบบรองรับสังคมผู้สูงอายุที่ปัจจุบันมีน้อยมาก
5. ลงทุนสร้างอนาคต (New Economy) ลงทุนด้านพลังงานสะอาดและการยกระดับทักษะแรงงาน (Reskill/Upskill)
โดยย้ำว่า ต้องควบคู่ไปกับ “วินัยทางการคลังและความโปร่งใส” ทุกนโยบายต้องคำนึงถึงต้นทุน และต้องระบุแหล่งเงินที่มาอย่างชัดเจน
เนื่องจากงบประมาณของรัฐบาลมีจำกัด และรัฐบาลมุ่งมั่นที่จะรักษาฐานรากของประเทศด้วยการไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ
กระทรวงการคลังจึงต้องงัด Thailand Future Fund (TFF) กลับมาใช้อีกครั้งในฐานะ "เครื่องมือเชิงรุก"
นายเอกนิติ ได้เชื่อมโยง TFF เข้ากับ "โครงการ Floating Solar (โซลาร์ลอยน้ำ)" ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจอย่างมาก
1. ขายรายได้ในอนาคต คือ รัฐบาลจะนำรายได้ในอนาคต (Future Income) จากโครงการ Floating Solar ของ กฟผ. ที่มีการเซ็นสัญญาไปแล้ว 3 เขื่อน มาออกขายให้กับนักลงทุนบางส่วน
2. ได้เงินสดใหม่ทันที คือ วิธีนี้เป็นการแปลงรายได้ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตจากโครงการที่มั่นคงแล้ว มาเป็น "เงินใหม่" ในปัจจุบัน
3. ลงทุนต่อยอด โดย เงินสดที่ได้มานี้จะนำไปลงทุนขยายโครงการ Floating Solar ในเขื่อนถัด ๆ ไป
ผลลัพธ์สองต่อ การใช้ TFF ในการลงทุนด้านพลังงานสะอาดเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญยิ่ง เพราะ ไม่เพิ่มภาระหนี้สาธารณะ และ ไม่เป็นภาระงบประมาณ ที่ร่อยหรออยู่แล้ว ซึ่งถือเป็นการเดินหน้าการลงทุนใน New Economy ที่สอดคล้องกับวินัยทางการคลัง
นอกเหนือจากการระดมทุนที่ไม่เพิ่มหนี้ผ่าน TFF แล้ว กระทรวงการคลังยังผลักดันกลยุทธ์ในเสาหลักอื่น ๆ เพื่อให้เกิด The Next New Economy
• ยกระดับทักษะ (Reskill/Upskill) เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนทักษะแรงงานที่ต่างชาติให้ความสำคัญ รัฐบาลจะนำเงินกองทุนของ BOI จำนวน 10,000 ล้านบาท ที่ไม่ค่อยได้ใช้ มาใช้ในการสร้างหลักสูตรสั้น ๆ ร่วมกับภาคเอกชนและมหาวิทยาลัย โดยตั้งเป้าฝึกอบรม 100,000 คน ในสาขาอนาคต เช่น AI, ดิจิทัล, และ EV
• ปลดล็อกการลงทุน (Fast Pass) เพื่อให้เม็ดเงินลงทุนที่ BOI อนุมัติไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงมือทำจริงมูลค่ากว่า 470,000 ล้านบาท สามารถเกิดขึ้นได้จริง รัฐบาลจะออกโครงการ "Fast Pass" สำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (เกิน 1,000 ล้านบาท) เพื่อแก้ปัญหาติดขัดเรื่องน้ำ, ไฟ, และใบอนุญาตอย่างเร่งด่วน โดยใช้ พ.ร.บ. อำนวยความสะดวก เพื่อให้การอนุมัติเป็นไปอย่างรวดเร็วเหมือน "ทางด่วน"
• ปฏิรูปการเงินเพื่อฐานราก มีการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนผ่านการใช้เงินกองทุนฟื้นฟูประมาณ 20,000 ล้านบาท ไปซื้อหนี้ส่วนบุคคล (Personal Loan) ออกมาจากสถาบันการเงิน เพื่อช่วยปรับโครงสร้างหนี้และให้ลูกหนี้มี "ลมหายใจ" มากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการออมผ่านการให้ประชาชนซื้อพันธบัตรรัฐบาลได้ทุกเดือน และสร้างกลไกการออมสำหรับผู้เล่นหวย โดยนำค่าบริหารจัดการสลากบางส่วนมาสะสมเป็นเงินออมที่สามารถนำไปค้ำประกันเพื่อกู้ยืมได้เมื่ออายุเกิน 55 ปี
นี่คือ การวางรากฐานใหม่ที่มุ่งเน้นทั้งการฟื้นตัวระยะสั้นผ่านการกระตุ้นที่กระจายตัว และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ที่ไม่สร้างภาระหนี้ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้าม "วิกฤตงบประมาณ" และขับเคลื่อนไปสู่เศรษฐกิจแห่งอนาคตได้อย่างยั่งยืน


