มาลี ลุยโฟกัส 4 ตลาดต่างประเทศ สร้างชื่อแบรนด์สุขภาพระดับภูมิภาค
เมื่อแบรนด์เครื่องดื่มมาลี (MALEE) ตั้งเป้าให้แบรนด์ไทยไปไกลกว่าเดิม เปิดแผนโฟกัส 4 ตลาดต่างประเทศ “จีน–เกาหลี-อินโดนีเซีย- ตะวันออกกลาง”
KEY
POINTS
- เมื่อแบรนด์เครื่องดื่มมาลี (MALEE) ตั้งเป้าให้แบรนด์ไทยไปไกลกว่าเดิม เปิดแผนโฟกัส 4 ตลาดต่างประเทศ “จีน–เกาหลี-อินโดนีเซีย- ตะวันออกกลาง”
- ปรับเกมธุรกิจสู่ Wellness Lifestyle Brand ระดับภูมิภาค เปิดสินค้าใหม่ที่ไม่เคยมี ดึงสตาร์จีน “จางหลิงเฮ่อ” เป็นพรีเซ็นเตอร์
- ชูอาวุธลับบริษัทลูก MAS ศูนย์นวัตกรรม แหล่งรายได้ใหม่ขององค์กร
เมื่อพูดถึงตลาดเครื่องดื่มน้ำผักและผลไม้พร้อมดื่มในประเทศไทย ปัจจุบันมีมูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดพรีเมียมราว 4,000 ล้านบาท โดยมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 2% จากเทรนด์ผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
มาลี (MALEE) เป็นหนึ่งในแบรนด์อันดับต้น ๆ ของไทยที่อยู่ในตลาดมากว่า 47 ปี ปัจจุบันมีพอร์ตธุรกิจในประเทศ 60% และต่างประเทศ 40% แบ่งเป็นธุรกิจตราสินค้า (Brand Business) 35% และธุรกิจรับจ้างผลิต (Contract Manufacturing) 65% ซึ่ง ในครึ่งแรกของปี 2568 มาลีมีรายได้รวม 3,824 ล้านบาท โดยมาจากธุรกิจแบรนด์ 35% ธุรกิจรับจ้างผลิต 64% และผลิตภัณฑ์นมเดลี่ฟาร์ม 1%
ขณะที่โรงงานผลิตประกอบด้วย สามพราน (นครปฐม) ผลิตผลไม้กระป๋อง ,ปากช่อง (นครราชสีมา) ผลิตนมและเครื่องดื่มจากนม, ประเทศเวียดนาม ผลิตทั้งสินค้าภายใต้แบรนด์และรับจ้างผลิต มีกำลังการผลิตรวมกว่า 749 ล้านลิตรต่อปี พร้อม 1 ฟาร์มรองรับวัตถุดิบด้านนมเพื่อเพิ่มความมั่นคงของซัพพลายเชน
จากผู้นำตลาดสู่การ “รีเซ็ตองค์กร” เพื่อโตแบบยั่งยืน
แม้จะเป็นผู้นำตลาด แต่ เอกรินทร์ พินิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า สนามนี้แข่งขันดุเดือดกว่าที่เคย โดยเฉพาะตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ผู้เล่นใหม่แห่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง มาลีจึงเปิดเกมรุกครั้งใหญ่ในแผนปี 2569–2571 ด้วยการ “เร่งเพิ่มประสิทธิภาพกำลังการผลิต” และ “พัฒนาระบบหลังบ้านเพื่อลดต้นทุน” พร้อมประกาศชัดว่า “จากนี้ไป มาลีจะโตด้วยแบรนด์ของตัวเอง”พร้อมรุกตลาดใหม่ในต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายชัดเจนดันสัดส่วนรายได้จากธุรกิจแบรนด์ให้เพิ่มจาก 35% เป็น 55% ภายในปี 2571
ชูวิสัยทัศน์ Beyond Fruit to Global Wellbeing
ภายใต้วิสัยทัศน์ Beyond Fruit to Global Wellbeing มาลีประกาศทรานส์ฟอร์มองค์กรครั้งสำคัญ เพื่อก้าวสู่การเป็น Global Wellbeing Company ที่มุ่งส่งมอบสุขภาวะที่ดีในทุกมิติ ทั้งสุขภาพกายและใจ ภายใต้แนวคิด Healthier & Happier หัวใจสำคัญคือการสร้างวัฒนธรรมองค์กร “One Malee” ที่หลอมรวมพลังทุกคนในองค์กรเป็นหนึ่งเดียว ทั้งทีม เป้าหมาย และวิสัยทัศน์เดียวกัน
เอกรินทร์อธิบายว่า มาลีจะใช้ความเชี่ยวชาญในน้ำผลไม้ ผสานกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์เทรนด์ Wellness Lifestyle โดยเฉพาะสุขภาพลำไส้ ซึ่งเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ทั่วโลก
ทั้งนี้ Wellbeing คือหัวใจสำคัญขับเคลื่อนธุรกิจ ทั้งในเชิงพัฒนานวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ใหม่ และการทำตลาดโดยโรดแมปได้ปรับทัพธุรกิจจัดพอร์ตโฟลิโอสินค้าใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพองค์กรและด้านกำไร โดยวางเป้าหมายรายได้ปี 2569 – 2571 มีอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 10-15%
โรดแมปการเติบโต 3 ปีข้างหน้า (2569–2571)
เอกรินทร์ เผยอีกว่า บริษัทฯ จะเสริมสร้างพื้นฐานธุรกิจเพื่อรองรับแผนขยายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจและยกระดับผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ผู้บริโภคทั่วโลกภายใต้พอร์ตธุรกิจดังนี้
อย่างแรกคือ ธุรกิจตราสินค้า (Brand Business) จะปรับภาพลักษณ์แบรนด์และผลิตภัณฑ์ในตลาดเป้าหมาย เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยการสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ส่งมอบสุขภาวะที่ดี ปัจจุบันบริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ทั้งน้ำผลไม้ น้ำผัก (Malee) ผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าว Malee Coco ผลไม้กระป๋องมาลี (Malee) และผลิตภัณฑ์นมตราฟาร์มโชคชัย โดยวางแผนจะพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด 2-3 รายการต่อปี เพื่อตอบสนองเทรนด์สุขภาพ
MAS อาวุธลับของมาลี
นอกจากนี้ยังมีอาวุธลับมาลีกรุ๊ปคือบริษัทลูก Malee Applied Science (MAS) เป็น Innovation Center สร้างนวัตกรรม ถูกจัดเป็น กลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของมาลีตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญ 3 เรื่อง คือ
- สร้างนวัตกรรม ให้กับผลิตภัณฑ์มาลี
- การจำหน่ายส่วนผสม (Ingredients) ที่พัฒนาขึ้นจากห้องแล็บจำหน่ายให้กับบริษัทภายนอก เช่น บริษัทเครื่องสำอางหรืออาหารเสริม ซึ่งถือเป็นแหล่งรายได้ใหม่ ก็คือเป็นหน่วยงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมที่เน้นผลิตภัณฑ์มีมูลค่าเพิ่มสูงในด้าน อาหาร อาหารเสริม และผลิตภัณฑ์ดูแลความงาม ที่มีความเชี่ยวชาญเทคโนโลยีที่หลากหลายทั้ง Agri Tech, Food Tech, Nano Tech, Bio Tech คิดค้นนวัตกรรมที่สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภค และขยายขอบเขตธุรกิจของบริษัทฯเพื่อสร้างโอกาสเติบโตใหม่และแหล่งรายได้เพิ่มเติม นอกเหนือจากธุรกิจหลักที่ดำเนินอยู่
- Upcycle วัสดุเหลือใช้จากการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัท
ยกระดับจาก OEM สู่ CMG
ขณะที่ ธุรกิจพัฒนาผลิตภัณฑ์และรับจ้างผลิต (Contract Manufacturing: CMG) จะยกระดับศักยภาพธุรกิจ CMG รองรับกับแผนขยายพอร์ตโฟลิโอสู่การเป็นผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์และรับจ้างผลิตไปในสินค้าที่ครบวงจรและหลากหลาย เช่น เครื่องดื่มน้ำมะพร้าว นมจากพืช (Plant base milk), ผลิตภัณฑ์ที่นำนมวัวเป็นวัตถุดิบหลักไปแปรรูป(Dairy milk), ชาและกาแฟ
ขยายตลาดต่างประเทศ โฟกัส 4 ตลาดหลัก
มาลี กรุ๊ป ปัจจุบันมีสินค้าวางขายในกว่า 30 ประเทศทั่วโลก โดยมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ 40% ต่อไปนี้จะเน้นการขยายตลาดต่างประเทศอย่างเข้มข้น เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 55% ของรายได้รวม เน้นโฟกัส 4 กลุ่มประเทศหลักที่ต้องโตให้ได้ ได้แก่
จีน เน้นพอร์ตน้ำมะพร้าว และกำลังหาเครือข่ายขยายการจัดจำหน่ายไปในเมืองสำคัญ บริษัทได้มีการนำนักแสดงชาวจีน จางหลิงเฮ่อ มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับเอเชียแปซิฟิกอย่างเป็นทางการ สำหรับเครื่องดื่ม Malee COCO แบรนด์น้ำมะพร้าว
ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของแบรนด์ที่มีการแต่งตั้งแบรนด์แอมบาสเดอร์ระดับภูมิภาค เพื่อยกระดับภาพลักษณ์และขยายฐานผู้บริโภคในตลาดเอเชียแปซิฟิก และต้องการสื่อสารภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างมากขึ้น โดยสร้างการรับรู้ในตลาดต่างประเทศได้ค่อนข้างดี
เกาหลี เน้นพอร์ตน้ำมะพร้าว ซึ่งเห็นเทรนด์การเติบโตของพอร์ตน้ำมะพร้าวมากขึ้น โดยมาลีเป็นเบอร์ 1 ในตลาดน้ำมะพร้าวช่องทางออฟไลน์
ตะวันออกกลาง เน้นน้ำผลไม้พรีเมียม จะเริ่มทำตลาดผ่าน Distributor ก่อน ซึ่งมาลีมองว่า ตะวันออกกลาง เป็นตลาดใหม่ โดยปัจจุบันมีการขายอยู่ใน UAE และคูเวต แต่ยังมีอีกหลายประเทศที่สามารถเข้าไปได้ เช่น ซาอุดีอาระเบีย จอร์แดน หรือ กาตาร์
อินโดนีเซีย เน้นน้ำผลไม้พรีเมียม โดยอาศัยความแข็งแกร่งจากการมี Joint Venture (JB) กับบริษัทจัดจำหน่ายเครื่องดื่มพร้อมดื่มชั้นนำในประเทศ
“มาลีวางแผนที่จะเพิ่มงบการตลาดในต่างประเทศให้มี สัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น มากกว่างบการตลาดในประเทศ เนื่องจากมาลีถือว่าเป็นผู้เล่นใหม่ในตลาดต่างประเทศ จึงจำเป็นต้องสร้างการรับรู้ (Activate) ทั้งนี้ มีความเชื่อมั่นว่าจะเป็นหนึ่งในบริษัทไทยที่นำพาสินค้าไทยเข้าไปเติบโตในตลาดต่างประเทศ และเป็น regional trusted partner/trusted brand ในระดับภูมิภาคและระดับโลกในอนาคต” เอกรินทร์ กล่าว
มองสถานการณ์เพื่อนบ้าน ปัญหาชั่วคราว
ทั้งนี้ ในปี 2568 ภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนและความไม่แน่นอนในภูมิภาค รวมถึงสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้าน เอกรินทร์ เผยว่า การส่งออกของมาลีชะลอตัวลงบางส่วน โดยเฉพาะตลาดเมียนมาและกัมพูชา ที่ได้รับผลกระทบชัดเจน ซึ่งทั้งสองตลาดมีสัดส่วนรายได้ราว 4% และ 1% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตามมองว่าเป็นเพียงปัญหาชั่วคราว และได้เตรียมแผนรองรับ ไว้อย่างรอบคอบ ด้วยการขยายการโฟกัสไปยังประเทศที่เหลือ เพื่อกระจายความเสี่ยงและรักษาเสถียรภาพของรายได้ พร้อมมั่นใจว่าสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว และตลาดส่งออกจะกลับเข้าสู่ทิศทางการเติบโตได้ตามแผนในปีหน้า


