เศรษฐกิจไทยต้องรีเซ็ต! กลยุทธ์เก่าใช้ไม่ได้ในยุค “3 น้อย”
นักเศรษฐศาสตร์ชี้ ไทยยังใช้ “กลยุทธ์เก่าบนภูมิทัศน์ใหม่” แนะปรับโมเดลเศรษฐกิจรับยุค “3 น้อย” ให้ความสำคัญ “Soft Infrastructure” หนุนคนทำธุรกิจง่ายขึ้น
KEY
POINTS
- นักเศรษฐศาสตร์ชี้ โลกเปลี่ยนจากยุค “3 มาก” ไปสู่ยุค “3 น้อย” ทำให้โมเดลเศรษฐกิจแบบเก่าของไทยที่เน้นผลิตปริมาณมากใช้ไม่ได้ผล
- เสนอให้ปรับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจใหม่ 3 ด้าน คือ สร้างมูลค่าจากศักยภาพภายใน ประชาชนมีส่วนร่วมจากฐานราก) สร้างการเติบโตที่ทั่วถึงและเป็นธรรม
- พัฒนาฝั่งอุปทาน สร้างโอกาสที่เท่าเทียม และปฏิรูปประสิทธิภาพของภาครัฐเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ นักเศรษฐศาสตร์ นักการเงิน กล่าวภายในงาน Thailand Economic Outlook 2026 จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ว่า โลกปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตโดยสิ้นเชิง ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี แต่ประเทศไทยยังคงใช้ “กลยุทธ์เก่า” ที่ไม่สอดคล้องกับ “ภูมิทัศน์ใหม่” ของโลก
“เรารู้ว่าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว และพยายามปรับตัวอยู่ตลอด แต่การมองและการปรับทิศทางของเรายังตั้งอยู่บนฐานความคิดแบบเดิม เหมือนพยายามขับรถที่มีล้อในโลกที่กลายเป็น Water World สุดท้ายก็จมอยู่ดี”
โลกจากยุค “3 มาก” สู่ “3 น้อย”
ดร.สมประวิณ อธิบายว่า โลกหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นยุคของ “3 มาก” ได้แก่
- คนมาก คือประชากรเพิ่มขึ้นรวดเร็ว ทำให้ปริมาณ มีความสำคัญ
- ความร่วมมือมาก มีเวทีความร่วมมือพหุภาคีจำนวนมาก
- กิจกรรมทางเศรษฐกิจมาก ประเทศต่าง ๆ ร่วมมือกันสร้างความเติบโต
แต่โลกปัจจุบันกลับกลายเป็น “3 น้อย”
- คนน้อยลง โครงสร้างประชากรแก่ตัวทั่วโลก
- ความร่วมมือน้อยลง การเมืองโลกแยกขั้ว ประเทศต่าง ๆ พึ่งพาตนเอง
- กิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนตัวมากขึ้น แต่ละประเทศให้ความสำคัญกับความมั่นคงของตนเองมากกว่าความร่วมมือ
“วันนี้ความร่วมมือแบบในอดีตแทบไม่เหลือแล้ว โลกเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจและการแข่งขันเพื่อความอยู่รอด”
ปรับโมเดลพัฒนาเศรษฐกิจให้สอดคล้องยุค 3 น้อย
ดร.สมประวิณ กล่าวว่า กลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจของไทยในอดีตนั้น “ถูกต้องตามบริบทโลกในยุคนั้น” เพราะเป็นยุคที่ต้องผลิตให้ได้มาก ถูก และเร็ว เพื่อแข่งขันในตลาดโลก แต่ในยุค 3 น้อย แนวทางดังกล่าวใช้ไม่ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อโลกกำลังขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมมากกว่าปริมาณ
โดยเสนอให้ไทยปรับกลยุทธ์หลัก 3 ด้าน ได้แก่
- จาก Outside-in เป็น Inside-out เปลี่ยนจากการพึ่งพาซัพพลายเชนโลก มาสร้างมูลค่าจากศักยภาพภายในประเทศ
- จาก Top-down เป็น Bottom-up เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนและท้องถิ่นมีส่วนร่วมมากขึ้น
- จาก Exclusive เป็น Inclusive Growth ทำให้การเติบโตครอบคลุม ไม่จำกัดอยู่เพียงบางกลุ่ม
สร้างโอกาสเท่าเทียม พัฒนาฝั่งอุปทาน
ดร.สมประวิณ กล่าวอีกว่า หัวใจของการเปลี่ยนผ่านคือ การพัฒนา “ฝั่งอุปทาน” (Supply Side) หรือ “การพัฒนาตัวเราเอง” โดยเริ่มจากฐานรากของสังคม เราต้องทำให้ประชาชนรู้สึกว่าเขามีโอกาสทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน ทั้งในด้านการเข้าถึงทรัพยากร การเข้าสู่ตลาด และการแข่งขัน
อย่างไรก็ตาม รัฐไม่ควรเข้าไปแทรกแซงกลไกตลาด แต่ควรทำให้ตลาดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสแข่งขันอย่างเป็นธรรม
ดร.สมประวิณ กล่าวว่า แม้ไทยจะให้ความสำคัญกับ “Hard Infrastructure” เช่น สนามบินหรือรถไฟความเร็วสูง แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “Soft Infrastructure” หรือโครงสร้างพื้นฐานที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งช่วยให้คนทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น โดยมีองค์ประกอบคือ การกระจายอำนาจ การมีส่วนร่วมของประชาชน และระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ
“เรามักเรียกร้องให้เอกชนเพิ่มผลิตภาพหรือสร้างนวัตกรรม แต่ไม่ค่อยมีใครถามว่า ‘ผลิตภาพของภาครัฐ’ เป็นอย่างไร ทักษะของแรงงานรัฐ หรือความคิดเชิงนวัตกรรมของรัฐอยู่ตรงไหน ข้อมูลจากสภาพัฒน์ฯระบุว่า ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลง 5 อันดับ โดยสาเหตุหลักคือ ‘ประสิทธิภาพของรัฐ’ ดังนั้นสิ่งที่ต้องปฏิรูปมากที่สุดในเวลานี้ ไม่ใช่แค่ 'รัฐ' แต่คือ กลไกการจัดสรรทรัพยากรสาธารณะ ทั้งระบบ” ดร.สมประวิณ กล่าวทิ้งท้าย


