BPP รุกธุรกิจคาร์บอนเทรดดิ้งในจีน คาดต่อยอดรายได้กว่าพันล้าน
BPP รุกธุรกิจคาร์บอนเทรดดิ้งและขยายท่อส่งไอน้ำในจีน ต่อยอดจากโรงไฟฟ้าเดิม สร้างรายได้ใหม่พันล้านบาท พร้อมขับเคลื่อนสู่พลังงานยั่งยืน
KEY
POINTS
- BPP ต่อยอดธุรกิจโรงไฟฟ้าสู่ธุรกิจคาร์บอนเทรดดิ้ง เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานและการเติบโตที่ยั่งยืนตามกลยุทธ์ Decarbonization
- ในครึ่งปีแรก 2568 โรงไฟฟ้าในจีนสร้างรายได้ผ่านการขายสิทธิจากการลดการปล่อยคาร์บอน (CEAs) ประมาณ 19 ล้านหยวน หรือราว 100 ล้านบาท พร้อมเดินหน้านำนวัตกรรม Biomass co-firing เพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้าง CEAs ในอนาคต
- โรงไฟฟ้าโจวผิงขยายระบบท่อส่งไอน้ำแก่ภาคอุตสาหกรรม ลดการปล่อย CO 2 และส่งเสริมคุณภาพอากาศ คาดเพิ่มรายได้กว่า 240 ล้านหยวนต่อปี หรือราว 1,100 ล้านบาท เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จครบ 3 สาย (เหนือ ตะวันตก และตะวันออก)
บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP กำลังปรับกลยุทธ์เชิงรุกในจีน โดยไม่หยุดอยู่แค่การผลิตไฟฟ้า แต่ต่อยอดไปสู่การสร้างรายได้จากการลดการปล่อยคาร์บอนและการลงทุนในระบบท่อส่งไอน้ำเพื่ออุตสาหกรรม การเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนทิศทางใหม่ของบริษัทที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ Decarbonization ซึ่งเป็นแนวทางสำคัญของธุรกิจพลังงานทั่วโลก
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 BPP สามารถสร้างรายได้จากการขายสิทธิการลดการปล่อยคาร์บอน หรือ Carbon Emission Allowances (CEAs) กว่า 19 ล้านหยวน (ประมาณ 100 ล้านบาท) จากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม (CHPs) ที่ดำเนินงานในจีน การมีสินทรัพย์ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำกว่าเกณฑ์ ทำให้บริษัทมีสิทธิส่วนเกินที่สามารถนำไปขายในตลาดซื้อขายคาร์บอนได้ทันที และนี่กำลังกลายเป็นรายได้ใหม่ที่น่าสนใจ
ปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มศักยภาพคือการนำนวัตกรรม Biomass Co-firing มาใช้ในโรงไฟฟ้าเจิ้งติ้งซึ่งเพิ่งเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ โดยใช้ชีวมวลผสมกับเชื้อเพลิงหลักในสัดส่วน 10% คาดว่าจะช่วยลดการปล่อย CO₂ ได้ราว 70,000 ตันต่อปี และเพิ่มรายได้จาก CEAs ได้ในระยะยาว BPP ตั้งเป้าว่าตลอดปีนี้จะขายสิทธิ CEAs ได้ถึง 290,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า สะท้อนให้เห็นศักยภาพการต่อยอดจากธุรกิจโรงไฟฟ้าเดิมไปสู่กลไกตลาดคาร์บอนอย่างจริงจัง
ขณะที่โรงไฟฟ้าโจวผิงและหลวนหนานยังอยู่ระหว่างเตรียมดำเนินการ สำหรับโครงการขยายระบบท่อส่งไอน้ำของโรงไฟฟ้าโจวผิง ได้เริ่มก่อสร้างสายเหนือ (North Line) ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และมีแผนขยายเพิ่มเติมในสายตะวันตกและสายตะวันออก (West & East Line) เพื่อส่งไอน้ำแก่ลูกค้าอุตสาหกรรมในพื้นที่ โครงการนี้มีบทบาทสำคัญในการลดการพึ่งพาโรงผลิตไอน้ำที่มีประสิทธิภาพต่ำและปล่อยคาร์บอนสูง พร้อมยกระดับคุณภาพอากาศซึ่งช่วยให้รัฐบาลท้องถิ่นสามารถแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างสมดุล เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จครบทุกสายจะมีกำลังผลิตไอน้ำรวม 720,000 ตันต่อปี ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้เพิ่มอีกกว่า 240 ล้านหยวนต่อปี หรือประมาณ 1,100 ล้านบาท
อีกด้านหนึ่ง การลงทุนของ BPP ยังมีการขยายสู่ตลาดโลก เช่น โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) “Cotton Cove” ที่รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเริ่มดำเนินงานในปี 2569 โดยมีศักยภาพกักเก็บคาร์บอนได้กว่า 32,000 เมตริกตันต่อปี โครงการลักษณะนี้ชี้ให้เห็นว่าบริษัทไม่ได้จำกัดการเปลี่ยนผ่านพลังงานไว้เพียงในเอเชีย แต่พยายามสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและความยั่งยืนในหลายภูมิภาค
“การต่อยอดธุรกิจในจีนสะท้อนความมุ่งมั่นของ BPP ในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ที่แข็งแกร่ง นอกเหนือจากโครงการในจีนแล้ว บริษัทยังตอกย้ำกลยุทธ์ Decarbonization ผ่านการร่วมลงทุนในโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) ‘Cotton Cove’ ที่รัฐเท็กซัส ในสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะเริ่ม COD ในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 ด้วยศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนเฉลี่ย 32,000 เมตริกตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี” นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)
หรือ BPP กล่าว
การขยับตัวของ BPP ในจีนจึงไม่ใช่เพียงการลงทุนรายโครงการ แต่สะท้อนถึงโมเดลธุรกิจใหม่ที่ใช้ “คาร์บอน” เป็นทั้งข้อจำกัดและโอกาส ในยุคที่กฎเกณฑ์สิ่งแวดล้อมเข้มงวดขึ้น บริษัทพลังงานที่สามารถสร้างรายได้จากการลดการปล่อยและการยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน จะมีความได้เปรียบในการแข่งขันและเสริมความมั่นคงทางธุรกิจในระยะยาว