posttoday

"คลัง" คาด กัมพูชา หวั่นเงิน "เรียล" เสื่อมค่า หนุนกว้านซื้อทองไทยทะลัก

15 กันยายน 2568

พรชัย โฆษกคลัง เผย ส่งออกทองไปกัมพูชาเพิ่มผิดปกติ อาจไม่ใช่เพราะปริมาณ แต่เพราะราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น พร้อมตั้งข้อสังเกตเกิดจากความไม่มั่นใจใน เสถียรภาพเงิน "เรียล"

KEY

POINTS

  • กระทรวงการคลังคาดการณ์ว่าชาวกัมพูชาขาดความเชื่อมั่นในค่าเงินเรียล จึงหันมาซื้อทองคำจากไทยเพื่อเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
  • มูลค่าการส่งออกทองคำของไทยไปยังกัมพูชาเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น
  • การที่ไทยและกัมพูชามีพรมแดนติดกันและมีการค้าขายเป็นปกติอยู่แล้ว เป็นปัจจัยที่เอื้อให้การซื้อขายทองคำทำได้อย่างต่อเนื่อง

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณี ที่มีรายงานข่าวว่า การส่งออกทองคำของไทยในช่วงที่ผ่านมามีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ที่หลายฝ่ายมีการตั้งข้อสังเกตว่า เพิ่มขึ้นในลักษณะที่ผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่กดดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าระดับที่ควรเป็น 

 

โดยนายพรชัยระบุว่า ประเด็นนี้ต้องวิเคราะห์อย่างรอบด้านว่า การเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกทองคำ มาจาก "ปริมาณทองคำที่ส่งออกเพิ่มขึ้น" หรือเพียงแต่ "ราคาทองคำโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น" ซึ่งหากเป็นกรณีหลัง อาจไม่ได้สะท้อนถึงการไหลออกของทองในเชิงปริมาณจริง จึงจำเป็นต้องพิจารณาทั้ง 2 ปัจจัยร่วมกันด้วย

 

“ส่งออกมาก ต้องวิเคราะห์ดูว่า มาจากมูลค่า คือ ปริมาณ คูณ ราคาทอง ที่เพิ่ม มาจากปริมาณเพิ่ม หรือราคาทองเพิ่มขึ้น มาประกอบการพิจารณาด้วย” นายพรชัย กล่าว

 

นอกจากนี้ นายพรชัยยังระบุว่า ปัจจัยที่อาจทำให้กัมพูชาเพิ่มการนำเข้าทองคำจากไทย อาจเกิดจากความไม่มั่นใจในเสถียรภาพของสกุลเงินเรียล ในประเทศตนเอง จึงหันมาถือทองคำและเงินตราต่างประเทศมากขึ้น ประกอบกับไทยและกัมพูชามีการค้าขายกันตามปกติอยู่แล้ว อีกทั้งมีพรมแดนติดกัน ทำให้มีช่องทางในการซื้อขายทองคำอย่างต่อเนื่อง

“กัมพูชา อาจมีความไม่มั่นใจในสกุลเงินของตัวเองหรือไม่ จึงมาถือทองคำและเงินสกุลอื่นแทน ต้องพิจารณาให้รอบด้านก่อน ซึ่งถามว่าทำไมต้องนำเข้าจากไทย ก็เพราะไทย และกัมพูชา มีการค้าขายกันเป็นประจำอยู่แล้ว โดยมีพรมแดนติดกันมี supply ” นายพรชัย กล่าว

 

สำหรับข้อเสนอจากนายวรภัค ธันยาวงษ์ ว่าที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่แนะนำให้พิจารณามาตรการด้านภาษี และระบบการซื้อขายทองคำ โดยกำหนดให้การซื้อขายทองคำใช้สกุลดอลลาร์แทนเงินบาท เพื่อลดแรงกดดันค่าเงินบาทในช่วงราคาทองแพงนั้น  "ส่วนตัว ยังไม่ทราบเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นเรื่องระดับนโยบาย แต่ประเด็นนี้ต้องถามธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้วยว่าเกี่ยวกับค่าเงินบาทด้วยหรือไม่" 

 

เมื่อสอบถามไทยเคยออกมาตรการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการซื้อขายทองคำในลักษณะดังกล่าวหรือไม่ นายพรชัยระบุว่า "ยังไม่มีข้อมูล"

 

ข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า การส่งออกทองคำของไทยไปยังประเทศกัมพูชามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2564 มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 8,627 ล้านบาท ปี 2565 เพิ่มขึ้นเป็น 55,781 ล้านบาท ปี 2566 ลดลงเล็กน้อยเหลือ 12,562 ล้านบาท และในปี 2567 เพิ่มขึ้นอีกครั้งเป็น 105,982 ล้านบาท 

 

สำหรับช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม–กรกฎาคม) ไทยส่งออกทองคำไปยังกัมพูชาเป็นมูลค่า 71,312 ล้านบาท ซึ่งหากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป การส่งออกทองคำตลอดทั้งปี 2568 อาจทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 160,000 ล้านบาท เทียบเท่าสถิติเดิมที่ทำไว้ในปีที่ผ่านมา 


ทั้งนี้ นายวรภัค ยังได้ยกตัวอย่างจากต่างประเทศที่มีการดำเนินการเก็บภาษีในลักษณะดังกล่าวแล้ว เช่น ดูไบและอินเดีย ซึ่งสนับสนุนการซื้อขายทองด้วยดอลลาร์สหรัฐ พร้อมทั้งเก็บภาษีในบางกรณี เพื่อควบคุมการไหลออกของเงินตราและรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน
 

ข่าวล่าสุด

จับตา คลังชงครม.ศก. เคาะมาตรการภาษีหนุนออม–ลงทุน รายบุคคล ผ่าน ISA