"วรภัค" ว่าที่ รมช.คลัง หนุน "Risk-Based Pricing" สางหนี้นอกระบบ
วรภัค ธันยาวงษ์ หนุนกลไกดอกเบี้ยตามความเสี่ยง เปิดโอกาสลูกหนี้เสี่ยงสูงเข้าระบบการเงิน ลดพึ่งเจ้าหนี้เถื่อน สร้างเครดิตอย่างยั่งยืน
KEY
POINTS
- นายวรภัค ธันยาวงษ์ ว่าที่ รมช.คลัง สนับสนุนแนวคิด "Risk-Based Pricing" หรือการกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของผู้กู้ เพื่อเป็นแนวทางแก้ปัญหาหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน
- นโยบายนี้จะช่วยให้ผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูงสามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ ขณะที่ผู้กู้ที่มีประวัติดีจะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง
- การใช้เพดานดอกเบี้ยแบบตายตัวในปัจจุบัน ถูกมองว่าเป็นอุปสรรคที่ผลักดันให้คนจำนวนมากต้องหันไปพึ่งพาหนี้นอกระบบซึ่งมีดอกเบี้ยสูงกว่า
นายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ว่าที่ รมช.คลัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า อย่าตรึงเพดานดอกเบี้ยรายย่อยผิดที่ - ถึงเวลาเปิดทาง "Risk-Based Pricing" เพื่อจัดการหนี้นอกระบบอย่างยั่งยืน “Risk-Based Pricing” คืออนาคตของสินเชื่อไทย “เสี่ยงสูงกู้ได้ เสี่ยงต่ำกู้ถูกลง”
คำนี้ไม่ใช่แค่นโยบายสวยหรู แต่เป็นการปฏิวัติวิธีคิดเรื่อง “ความยุติธรรมทางการเงิน” (financial fairness) ที่ประเทศไทยกำลังจะเดินหน้าอย่างจริงจังภายใต้โครงการ Reinvent Thailand พลวัตใหม่เพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทย
สัญญาณใหม่จากธนาคารแห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ธปท., สศค., สมาคมธนาคารไทย และผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อย 3 ราย ได้ประชุมร่วมกันเป็นครั้งแรกเพื่อ kick-off การออกแบบกลไก Risk-Based Pricing (RBP) อย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทย
การประชุมครั้งนี้ถือเป็น “จุดเปลี่ยน” ของระบบสินเชื่อไทย ที่ไม่ใช่แค่การลดอัตราดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้ที่ดีเท่านั้น แต่ยัง เปิดประตูให้ลูกหนี้ที่เสี่ยงสูงซึ่งเคยถูกทิ้งไว้ข้างนอกระบบ ได้กลับเข้ามาในระบบการเงินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน
เพดานดอกเบี้ยตายตัว: ปราการเก่าในโลกใหม่
ที่ผ่านมา การถกเถียงเรื่อง “เพดานดอกเบี้ย” ถูกมองว่าคือการปกป้องผู้บริโภค แต่ในโลกจริง เพดานที่ต่ำเกินไป เช่น 25% ต่อปี กลับเป็น ดาบสองคม ที่
• ทำให้ผู้ปล่อยกู้ไม่สามารถให้กู้แก่ลูกค้าที่เสี่ยงสูงได้
• ผู้กู้จำนวนมากจึง ไม่มีทางเลือก และต้องกลับไปพึ่งพาหนี้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ย 60–200% ต่อปี
• ระบบการเงินจึง ไม่สามารถสร้างประวัติเครดิต ให้กับประชาชนจำนวนมากได้เลย
Risk-Based Pricing: เส้นทางใหม่ที่ดีกว่าทุกฝ่าย
กลไก RBP ที่ ธปท. และ สศค. กำลังผลักดัน จะช่วยสร้าง ระบบสินเชื่อที่มีดอกเบี้ย “ตามความเสี่ยง” ด้วยวิธีคิดใหม่ เช่น
• ลูกหนี้ที่มีประวัติชำระดี → ได้อัตราดอกเบี้ยต่ำลง
• ลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง → กู้ได้ในอัตราที่เหมาะสมกับความเสี่ยง โดยไม่ต้องพึ่งเจ้าหนี้เถื่อน
• ทุกคนเริ่ม “สร้างเครดิต” ได้จากศูนย์ สร้างวงจรบวกให้ชีวิตทางการเงิน
แนวคิดนี้สอดคล้องกับหลักการ Financial Inclusion + Responsible Lending อย่างแท้จริง และหากออกแบบดี จะ “ตัดตอน” หนี้นอกระบบจากรากฐาน
ไม่ใช่แค่ไทยที่คิดแบบนี้ - โลกเดินมาทางนี้แล้ว
• อินเดีย: ยกเลิกเพดานดอกเบี้ยไมโครไฟแนนซ์ในปี 2022 ใช้สูตร risk-adjusted pricing + รายงานต่อธนาคารกลาง
• อินโดนีเซีย: ธนาคาร BRI ใช้ RBP กับลูกค้ารายย่อยกว่า 30 ล้านราย → ลด NPL, ขยายสินเชื่อทั่วประเทศ
• เคนยา: ปรับระบบ SME lending ด้วยการจัดระดับความเสี่ยงลูกค้าแบบโปร่งใส → สินเชื่อเติบโต 11.4% ภายในปีเดียว
แต่ RBP ไม่ใช่แค่ “คิดดอกเบี้ยตามใจ” - ต้องมีฝีมือ
การใช้ RBP ต้องอาศัย ความสามารถของผู้ให้บริการ อย่างจริงจัง:
1. มี credit model ที่แม่นยำ เช่น AI/ML + ข้อมูลทางเลือก
2. มีกลไกรับผิดชอบต่อผู้กู้ (เช่น disclosure แบบ Key Fact Statement)
3. มีกระบวนการช่วยเหลือหนี้เสีย ที่ไม่ทิ้งลูกค้าหลังปล่อยกู้
4. ลดต้นทุนต่อหน่วยด้วย digital infrastructure เช่น mobile underwriting
นั่นหมายความว่า ไม่ใช่ใครก็ทำ RBP ได้ - จะต้องเป็นผู้ให้บริการที่มีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยี จริยธรรม และทุนมนุษย์
ทางออก: ทดสอบใน sandbox ก่อนเปิดจริง
แนวคิดที่ธปท.และหน่วยงานรัฐเสนอ คือให้มีการดำเนินการในรูปแบบ pilot sandbox เพื่อประเมินว่า
• ผู้ให้บริการสามารถใช้ระบบ RBP ได้จริงหรือไม่?
• ระบบนี้สามารถลดหนี้นอกระบบได้จริงหรือไม่?
• จะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยในระบบอย่างไร?
หากพิสูจน์แล้วว่าได้ผล จึงจะขยายการใช้ในวงกว้าง
บทสรุป: นี่คือการเปลี่ยนโครงสร้าง ไม่ใช่แค่เปลี่ยนนโยบาย
หากไทยต้องการหลุดพ้นจากปัญหา “หนี้นอกระบบ” ที่เป็นโรคเรื้อรังของสังคมไทย RBP คือกลไกใหม่ที่ให้ “โอกาสกับทุกคน” ไม่ใช่แค่ “คุ้มครองเฉพาะคนที่กู้ได้อยู่แล้ว”
ประเทศไทยไม่ควรกลับไปสู่นโยบาย “ตึงเพดานดอกเบี้ยแบบเหมารวม” อีกต่อไป
แต่ควรเลือกเดินหน้า “กลไกกำหนดราคาตามความเสี่ยง” ที่เปิดโอกาสให้ ทั้งผู้กู้และผู้ให้กู้เติบโตอย่างยั่งยืน


