กทพ. เล็งเปิดประมูลทางด่วน "กะทู้-ป่าตอง" รอบ2 วงเงินรวม 2.1 หมื่นล้าน
หลังรอบแรกไร้เอกชนร่วม กทพ. ปรับแผนใหม่จ่อเปิดประมูลสร้างด่วนกะทู้-ป่าตอง 2.1 หมื่นล้าน หวังเริ่มก่อสร้างปี 69 เปิดใช้ปี 72
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เตรียมเปิดประมูลรอบใหม่สำหรับโครงการทางด่วนสายกะทู้–ป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 หลังจากก่อนหน้านี้ไม่มีเอกชนรายใดยื่นข้อเสนอเข้าร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP เนื่องจากประเมินว่าโครงการมีความเสี่ยงสูงและให้ผลตอบแทนไม่จูงใจพอ
ภายหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เห็นชอบให้ปรับรูปแบบการลงทุนใหม่ จากเดิมที่เอกชนเป็นผู้ร่วมลงทุน เป็นการให้ กทพ. ดำเนินโครงการเองโดยวิธีจ้างออกแบบควบคู่การก่อสร้าง (Design & Build) วงเงินค่าก่อสร้างรวมค่าควบคุมงานอยู่ที่ 10,964.77 ล้านบาท
นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการ กทพ. เปิดเผยว่า ภายในเดือนธันวาคมนี้ กทพ. จะเปิดประกาศเชิญชวนเอกชนเพื่อเข้าร่วมประมูลก่อสร้าง คาดว่าจะได้ผู้รับจ้างภายในต้นปี 2569 และสามารถเริ่มการก่อสร้างได้ทันที ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4 ปี และเปิดให้บริการได้ภายในปี 2572
สำหรับโครงการทางด่วนสายกะทู้–ป่าตอง ระยะที่ 1 มีระยะทาง 3.98 กิโลเมตร เป็นเส้นทางยกระดับผสมอุโมงค์คู่ 4 ช่องจราจร เริ่มต้นจากบริเวณจุดตัดถนนพระเมตตา ต.ป่าตอง ผ่านเขานาคเกิด และสิ้นสุดบริเวณจุดตัดกับทางหลวงหมายเลข 4029 ที่ ต.กะทู้ มีจุดขึ้น–ลง 2 จุด และด่านเก็บค่าผ่านทาง 1 จุดที่ ต.กะทู้
โครงการนี้ต้องเวนคืนที่ดินประมาณ 110 รายการ มีสิ่งปลูกสร้างประมาณ 160 หลัง โดยมีงบจัดกรรมสิทธิ์และเวนคืนที่ดินรวม 5,793 ล้านบาท เมื่อรวมกับค่าก่อสร้างและระบบอื่น ๆ โครงการระยะที่ 1 จะมีวงเงินลงทุนรวมประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ กทพ. ยังมีแผนเปิดประมูลให้เอกชนร่วมลงทุนในส่วนของการติดตั้งระบบจัดเก็บค่าผ่านทางและระบบบำรุงรักษา (O&M) ของโครงการในรูปแบบ PPP โดยมีวงเงินรวม 27,030 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้างงานระบบในระยะที่ 1 จำนวน 712 ล้านบาท และระยะที่ 2 จำนวน 1,518 ล้านบาท ขณะที่ค่าบำรุงรักษาตลอดอายุสัมปทาน 30 ปี รวม 24,800 ล้านบาท
ด้านโครงการระยะที่ 2 ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายจากเมืองใหม่–เกาะแก้ว–กะทู้ ระยะทาง 30.62 กิโลเมตร วงเงิน 45,930 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำรายละเอียดและจะเสนอให้ ครม. พิจารณาภายในเดือนเมษายน 2569
จากผลการศึกษาคาดว่าโครงการทางด่วนกะทู้–ป่าตองจะมีปริมาณจราจรในปีเปิดให้บริการอยู่ที่ประมาณ 69,386 คันต่อวัน มีอัตราผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) เท่ากับ 1.82% และอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (EIRR) เท่ากับ 18.85%
เมื่อทั้ง 2 ระยะของโครงการแล้วเสร็จ จะช่วยลดความแออัดบนถนนสายหลัก เช่น ถนนเทพกระษัตรี (ทางหลวงหมายเลข 402) และถนนพระบารมี (ทางหลวงหมายเลข 4029) อีกทั้งยังเพิ่มขีดความสามารถด้านการคมนาคมของจังหวัดภูเก็ต รองรับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยว และเชื่อมต่อระบบโลจิสติกส์ในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


