"ศุภจี สุธรรมพันธุ์" จากซีอีโอดุสิตธานี สู่ รมว.พาณิชย์คนใหม่

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ อดีตซีอีโอแห่งอาณาจักรดุสิตธานี ได้เปิดใจถึงการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต ทั้งการอำลาตำแหน่งสูงสุดในบริษัทเอกชนที่เธอทุ่มเทมานานเกือบ 10 ปี เพื่อก้าวสู่บทบาทใหม่ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการเมืองที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ แต่มาจากสองเหตุผลหลักที่เธอให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
 

ความท้าทายจากภาคเอกชนสู่ภารกิจเพื่อชาติ

การประกาศก้าวลงจากตำแหน่ง ซีอีโอของกลุ่มดุสิตธานี ในวันที่องค์กรกำลังทำสถิติรายได้สูงสุดกว่า 10,000 ล้านบาท พร้อมกับแผนงานที่วางรากฐานไว้มั่นคงแล้ว เป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จที่ผ่านมาตลอด 9-10 ปีที่ "ศุภจี"ได้นำทัพ โดยแบ่งเป็น 3 ช่วงหลัก ได้แก่ 

- 3 ปีแรกของการวางรากฐาน (Foundation)

- 3 ปีถัดมากับการสร้างเครื่องยนต์ขับเคลื่อนใหม่ (New Engines) อย่างโครงการดุสิต เซ็นทรัลพาร์ค 

- 3 ปีสุดท้ายที่ตั้งเป้าจะทะยานสู่จุด "Take-off" แม้จะต้องเผชิญวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้แผนชะลอตัวไป แต่ด้วยวิสัยทัศน์และการบริหารจัดการ ทำให้ดุสิตธานีสามารถฝ่าวิกฤตและกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง 
 

เวลานี้ ถึงการส่งไม่ต่อให้  นายชนินทธ์ โทณวณิก กลับมา ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม  แทนนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ที่ลาออกจากตำแหน่ง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เธอตัดสินใจหันเหจากเส้นทางธุรกิจที่รุ่งโรจน์ คือ โอกาสที่ไม่คาดฝัน ในการเข้ามาช่วยพัฒนาประเทศ ภายใต้การชักชวนให้เข้าร่วมทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ . นี่คือการตัดสินใจที่มาจากสองเหตุผลสำคัญที่เธอมองว่าคุ้มค่าที่จะคว้าไว้

สองเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

เหตุผลแรกคือ ความตั้งใจที่จะช่วยเหลือประเทศ คุณศุภจีเชื่อว่าประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายหลากหลาย และจากประสบการณ์ที่สั่งสมมานานกว่า 30 ปี ทั้งในระดับองค์กรขนาดใหญ่และข้ามชาติอย่าง IBM, Thaicom และล่าสุดที่ดุสิตธานี ทำให้เธอมีมุมมองที่กว้างขวาง สามารถนำความรู้และประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจ การตลาด และการเจรจาธุรกิจระหว่างประเทศ มาใช้เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระดับมหภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนอกเหนือจากการช่วยลดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังสามารถช่วยสร้างรายได้ และเปิดตลาดใหม่ๆ ให้กับประเทศไทยได้อีกด้วย

เหตุผลที่สองคือ ลักษณะของงานที่เป็นภารกิจระยะสั้น ประมาณ 4 เดือน หรือรวมแล้วไม่เกิน 7-8 เดือนก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ ทำให้เธอสามารถทุ่มเททำงานได้อย่างเต็มที่และสร้างผลกระทบที่สำคัญได้ในเวลาอันรวดเร็วเพื่อวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับผู้ที่จะมาสานต่อในอนาคต

ศุภจียังได้กล่าวถึงแนวทางการทำงานในตำแหน่งใหม่นี้ โดยจะมุ่งเน้นการทำงานร่วมกับทุกฝ่าย ทั้งข้าราชการและทีมเศรษฐกิจหลักของรัฐบาล โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน เธอยังทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจว่า "ไม่ต้องรู้ทุกอย่าง 100% ก่อนลงมือทำ แต่ขอให้ทำ 100% ในสิ่งที่รู้" ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพร้อมที่จะลุยงานเพื่อประเทศชาติอย่างเต็มที่ในบทบาทใหม่นี้อย่างแท้จริง