posttoday

ธปท. คลายเกณฑ์ป้องปรามเก็งกำไรเงินบาท เพิ่มสมดุลเงินทุน ลดแรงกดดันบาทแข็ง

07 กันยายน 2568

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผย ธปท. ผ่อนคลายเกณฑ์เกี่ยวกับตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาทโดยตรง แต่เป็นการหนุนธุรกรรมเงินขาไหลเข้า-ออกมีความสมดุลมากขึ้น

ธปท. ผ่อนคลายเกณฑ์เกี่ยวกับตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งในส่วนของ 1) มาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท และ 2) หลักเกณฑ์ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน เพื่อให้เอกชนมีความสะดวกในการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ โดยจะเริ่มมีผล 1 ธ.ค. 2568 

•    ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า การผ่อนคลายเกณฑ์ดังกล่าวไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาทโดยตรง แต่เน้นเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำธุรกรรมที่เป็น Real flows ที่มีการค้า/การลงทุน/การชำระเงินรองรับ ตามแผนพัฒนา FX ecosystem ซึ่งทำให้ธุรกรรมเงินขาไหลเข้า-ออกมีความสมดุลมากขึ้น

•    ธปท. ยังคงมาตรการส่วนอื่น ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเก็งกำไรค่าเงินบาทไว้ตามเดิม  ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า เงินบาทที่มีแรงกดดันด้านแข็งค่าในระยะนี้มีสาเหตุสำคัญมาจากทิศทางเงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อน และแรงหนุนจากราคาทองคำในตลาดโลก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองต่อการผ่อนคลายเกณฑ์การเก็งกำไรเงินบาท (ทั้งมาตรการจำกัดการปล่อยสภาพคล่องเงินบาท และมาตรการดูแลเงินทุนนำเข้า) ให้ NR ครั้งนี้ ดังนี้  

•    การผ่อนคลายเกณฑ์การเก็งกำไรเงินบาทให้กับ NR ข้างต้น มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างสมดุลเงินทุนเข้า-ออก เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีการเกินดุลการชำระเงินซึ่งทำให้มีการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศมากกว่าการไหลออก โดยส่วนใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการเกินดุลการชำระเงินซึ่งเป็นหนึ่งในแรงกดดันที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า

ดังนั้น การคลายเกณฑ์ครั้งนี้อาจช่วยเติมเต็มระบบนิเวศของตลาดอัตราแลกเปลี่ยน FX ecosystem ให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น เพราะจะช่วยเสริมสร้างความสมดุลและความยืดหยุ่นให้กับธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกรรมประเภท Real flows ที่มีการค้า/การลงทุน/การชำระเงินรองรับ 
 

•    ยังมีการจำกัดวงเงินและประเภทธุรกรรมที่มีผลต่อการปล่อยสภาพคล่องเงินบาทให้กับ NR ไม่ได้เปิดเต็มที่ทั้งหมด เช่น 

o    กรณีการปล่อยสินเชื่อสกุลเงินบาท แม้จะทำได้ตามยอด Underlying ในส่วนของการให้เงินกู้, การเปิด L/C, Trust Receipt, ตั๋วแลกเงินและตั๋วสัญญาใช้เงิน แต่สำหรับการให้วงเงิน OD และธุรกรรมที่ไม่มี Underlying ยังมีการจำกัดวงเงินไว้ที่ไม่เกิน 200 ล้านบาท/กลุ่ม NR  

o    ไม่สามารถให้สินเชื่อสกุลเงินบาทเกินมูลค่าการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน/อุตสาหกรรม และหากก่อนสัญญาสินเชื่อครบกำหนดแล้วมูลค่าโครงการลงทุนฯ ลดลงโดยเหตุผลอื่นนอกเหนือการปรับตามราคาตลาด สถาบันการเงินต้องเรียกเงินบาทคืนจาก NR เพื่อไม่ให้สินเชื่อเกินกว่ามูลค่าการลงทุน

•    หากเป็นขาที่สถาบันการเงินกู้ยืมเงินบาทจาก NR จะสามารถให้ทำได้ในวงเงินไม่เกินกว่า Underlying อีกขาหนึ่งของสถาบันการเงินที่เอาสินเชื่อก้อนนั้นไปปล่อยต่อให้กับผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ หรือ Resident หรือถ้าไม่มี Underlying ก็จะมีการจำกัดวงเงินไว้ที่ 10 ล้านบาท/กลุ่ม NR ซึ่งสะท้อนว่า ไม่อยากให้มีผลต่อความผันผวนในด้านเงินบาทแข็งค่า 

•    เป็นที่น่าสังเกตว่า ธปท. ยังคงมาตรการส่วนอื่น ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเก็งกำไรค่าเงินบาท ไว้ตามเดิม ไม่มีการปรับเปลี่ยน เพราะอนุญาตเฉพาะธุรกรรม Forward, Swap, Cross Currency Swap และ Options ที่มี Underlying รองรับเท่านั้น ยังไม่อนุญาตให้ทำธุรกรรมอนุพันธ์ด้านตลาดอ้างอิงราคาตราสารหนี้ (เป็นการทั่วไป) ราคา/ดัชนีราคาทองคำ รวมถึงธุรกรรมซื้อ-ขายหลักทรัพย์ที่มีสัญญาว่าจะขาย-ซื้อคืนภายหลังในลักษณะที่เป็นการปล่อยสภาพคล่องเงินบาท 

คาดว่า ในระยะสั้น การผ่อนคลายเกณฑ์ดังกล่าวอาจไม่ได้ส่งผลในการชะลอการแข็งค่าของเงินบาท หรือทำให้เงินบาทเปลี่ยนทิศกลับมาอ่อนค่า

เนื่องจากการแข็งค่าของเงินบาทยังคงเป็นผลมาจากทิศทางราคาทองคำและการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ เป็นหลัก อย่างไรก็ดี การผ่อนคลายเกณฑ์ดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความสมดุลให้กับการไหลเข้าออกของเงินทุนเคลื่อนย้ายมากขึ้น

ข่าวล่าสุด

ศูนย์ฯ สิริกิติ์ Smart City ต้นแบบ! เปลี่ยนขยะเป็น RDF สู่ Net Zero 2050