posttoday

"คลัง” เผยสหรัฐยังไม่ตอบกลับหลังชงภาษีใหม่ ยันลด 0% ทุกสินค้าไม่ได้

21 กรกฎาคม 2568

พิชัย เผยสหรัฐยังไม่ตอบกลับ หลังยื่นข้อเสนอแลกลดภาษีใหม่ อยู่ระหว่างการอัพเดทข้อมูลร่วมกัน ขณะที่จุลพันธ์ย้ำไม่ลดภาษี 0% กับสินค้าทุกประเภท หวั่นผลกระทบวงกว้าง แนะเอกชนปรับตัว

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเจรจาเรื่องภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยระบุว่า ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนอัปเดตข้อมูลร่วมกับฝ่ายปฏิบัติการ เพื่อเตรียมส่งให้ทันเส้นตายวันที่ 1 สิงหาคม จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมได้  หลังจากที่ได้ยื่นข้อเสนอเพิ่มเติมไปแล้วกับผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR)เมื่อวันที่ 17 ก.ค.2568 ที่ผ่านมา เพื่อให้ทันกำหนดเส้นตายในวันที่ 1 ส.ค. นี้

ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในประเด็นข้อเสนอของฝ่ายสหรัฐฯ ที่ต้องการให้ไทยลดภาษีนำเข้าสินค้าบางรายการลงเป็น 0% ว่า ไทยไม่สามารถ “ยอมเปิดภาษีศูนย์” กับสินค้าทุกประเภทได้เหมือนที่บางประเทศ เช่น เวียดนาม เคยทำไว้ เพราะจะก่อให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างต่อภาคธุรกิจในประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตร ซึ่งถือเป็นกลุ่มเปราะบาง

ถ้าเรายอมให้ 0% กับสหรัฐฯ แล้ว เราจะไม่สามารถปฏิเสธประเทศคู่เจรจาอื่นที่มีข้อตกลงการค้ากับเราได้เลย เพราะไทยเป็นภาคีของข้อตกลงพิเศษหลายฉบับ เช่น FTA ต่าง ๆ หรือหลัก ‘Most Favoured Nation’ (MFN) ซึ่งเป็นข้อผูกพันทางการค้า หากเปิดให้ประเทศหนึ่ง ก็เท่ากับต้องเปิดให้ทุกประเทศ

นายจุลพันธ์กล่าวเพิ่มเติม ว่า ข้อเสนอที่สหรัฐฯ ยื่นมา แม้ดูเหมือนจะให้ผลประโยชน์ด้านการค้าในระยะสั้น เช่น การเข้าถึงตลาดหรือการดึงดูดการลงทุน แต่หากยอมเปิดกว้างเกินไป จะส่งผลกระทบหนักในระยะยาว โดยเฉพาะกับอุตสาหกรรมที่ไทยยังต้องการการคุ้มครอง เช่น สินค้าเกษตร และสินค้าอ่อนไหวทางสังคม
 

นายจุลพันธ์ย้ำว่า รัฐบาลไทยมีจุดยืนชัดเจนในการเจรจา โดยต้องการให้ผลลัพธ์เป็นแบบ “วิน-วิน” (Win-Win) คือ ไทยพร้อมจะหารือและปรับลดภาษีในบางรายการที่ไม่กระทบโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศ แต่อย่าคาดหวังว่าไทยจะเปิดภาษีเป็น 0% ครอบคลุมทุกหมวดสินค้า เพราะนั่นจะเป็นการทำลายแนวป้องกันของประเทศเอง โดยเราไม่ได้ปิดโอกาสการเจรจา แต่ต้องมองให้ครบทุกมิติ เช่น ถ้ายอมให้สินค้าประเภทใดเป็น 0% แล้วต้องดูว่าสินค้านั้นมีผลต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวมไหม และเปิดให้สหรัฐฯ แล้วจะต้องเปิดให้ประเทศอื่นตามมาอีกหรือไม่


ทั้งนี้ เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางการค้า รัฐบาลเตรียม “สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน)” วงเงินรวม 200,000 ล้านบาท สำหรับช่วยเหลือภาคเอกชน และเกษตรกรที่อาจได้รับผลกระทบ หากสุดท้ายไม่เพียงพอรัฐบาลก็มีกลไกลให้ในดูแล และอาจปรับเพิ่มวงเงินได้ตามความจำเป็น และเหมาะสม

 

นายจุลพันธ์ระบุว่า มาตรการนี้จะใช้ในกรณีจำเป็น เพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจดำเนินการต่อได้ โดยเฉพาะเรื่องการรักษาการจ้างงาน และการปรับตัวทางธุรกิจ นอกเหนือจากมาตรการเยียวยา

รัฐจะเป็นตัวช่วยเสริมช่วย แต่เอกชนเองก็ต้องปรับตัว เช่น ขยายตลาดใหม่ ลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง และเร่งปรับตัวให้สอดคล้องกับทิศทางเศรษฐกิจโลก

โดยแนะนำว่า การพึ่งพาตลาดใหญ่เพียงตลาดเดียว เช่น สหรัฐฯ ไม่ใช่ทางรอดที่ยั่งยืน เอกชนไทยควรใช้โอกาสนี้ในการ “ไดเวอร์ซิฟาย” หรือกระจายตลาด และปรับกลยุทธ์การผลิต-การส่งออกให้สอดคล้องกับทิศทางโลก เช่น การผลิตสินค้าในประเทศที่ยังถือเป็น “ถิ่นฐานการผลิตของไทย” เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าได้เต็มที่

 

นอกจากนี้ การพิจารณาความเหมาะสมของ "โลคัลคอนเทนต์" (Local Content) หรือสัดส่วนการผลิตในประเทศ ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาสิทธิประโยชน์ด้านภาษี และสร้างจุดแข็งทางการค้าให้กับสินค้าไทย

 

เมื่อถูกถามว่ามีสินค้ากลุ่มใดบ้างที่ “ห้ามลดภาษีลงเป็น 0%” นายจุลพันธ์ไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากอยู่ในช่วงการเจรจาและมีข้อกำหนดเรื่องความลับ (Non-Disclosure Agreement) แต่ย้ำว่า บางรายการเปิดเป็น 0% ได้ เช่น สินค้าที่ไทยเปิดตลาดอยู่แล้วให้บางประเทศ ก็สามารถเปิดให้สหรัฐฯ แข่งขันเพิ่มได้ แต่บางกลุ่ม เช่น เกษตรกรรม หรือสินค้าอ่อนไหวอื่น ๆ ลดไม่ได้เลย เพราะกระทบระบบทันที
 

ข่าวล่าสุด

3 ชาติผนึกกำลังทลาย 'KK Park - ชเวก๊กโก' รังใหญ่ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์"