เผ่าภูมิ รับเศรษฐกิจครึ่งปีหลังแผ่ว จี้ลดดอกเบี้ย-ดูแลบาท อุ้มศก.ครึ่งปีหลัง
"เผ่าภูมิ" รับเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังชะลอ จี้นโยบายการเงินเร่งเครื่อง ผ่อนเกณฑ์ปล่อยกู้-ลดดอกเบี้ย-ดูแลค่าเงินบาท สอดรับนโยบายการคลังอัดฉีดมาตการกระตุ้น อุ้มเศรษฐกิจสู้ความเสี่ยง
นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ยอมรับว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 อาจมีการชะลอตัวลงจากครึ่งปีแรก เนื่องจากความท้าทายที่เพิ่มมากขึ้นทั้งจากปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน และปัจจัยภายในประเทศที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
ในสถานการณ์เช่นนี้ มีความจำเป็นที่นโยบายการเงินและนโยบายการคลังจะต้องเดินหน้าไปพร้อมกัน เพื่อช่วยกระตุ้นและโอบอุ้มเศรษฐกิจให้สามารถรับมือกับความเสี่ยงต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผมพูดเสอมว่า นโยบายการเงินและการคลังต้องเหยียบคันเร่งไปพร้อมๆกัน การคลังเราเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเต็มที่แล้ว และหวังว่านโยบายการเงินจะสนับสนุนทิศทางเดียวกัน
โดยมาตรการทางการคลัง ได้ดำเนินมาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจวงเงินกว่า 1.15 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นผลกระทบในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้และต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 1 ของปีหน้า นอกจากนั้น ยังมีงบประมาณที่เหลือราว 4 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับผลกระทบในกรณีที่ต้องมีมาตรการเพิ่มเติม
ในส่วนของนโยบายการเงิน เสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างเหมาะสม รวมถึงกำกับดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่ส่งเสริมการส่งออก เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าเกินไปจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกไทย
นายเผ่าภูมิยังกล่าวอีกว่า นโยบายการเงินไม่ได้มีแค่เรื่องดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการกระจายเม็ดเงิน กระจายสินเชื่อ กระจายสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ โดยให้มีการผ่อนคลายมาตรการและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ของสถาบันการเงิน เพื่อเปิดโอกาสให้ปล่อยสินเชื่อและกระจายสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้มากขึ้น เช่น การปรับเงื่อนไขมาตรการ Loan-to-Value (LTV) ที่ถูกมองว่าเข้มงวดเกินไป และมาตรการ Responsible Lending ที่ควรมีความยืดหยุ่นมากขึ้นให้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน
นโยบายการเงินไม่ได้หมายถึงแค่การปรับดอกเบี้ยเท่านั้น แต่หมายรวมถึงการขยายสินเชื่อและสภาพคล่อง ซึ่งจะช่วยให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนได้รับประโยชน์โดยตรง การผ่อนปรนเงื่อนไขเหล่านี้จะช่วยเสริมมาตรการทางการคลังที่รัฐบาลดำเนินอยู่ให้เกิดผลได้จริงและรวดเร็วยิ่งขึ้น
สำหรับเรื่องการเจรจาภาษีสหรัฐฯ นั้น ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการทำงาน ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลต้องทำให้ดีที่สุด โดยต้องยอมรับว่าก่อนจะมีจดหมายแจ้งการจัดเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36% จากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นั้น แนวโน้มการปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 2568 มีสูงมาก แต่เมื่อมีเรื่องจดหมายดังกล่วเข้ามา ก็เป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลต้องมาพิจารณาปัจจัยบวกและลบเพิ่มเติม
จดหมายจากสหรัฐฯ ดังกล่าวยังไม่ใช่บทสรุป แต่เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราต้องทำงานกันหนักขึ้น โดยในช่วงสิ้นเดือน ส.ค. 2568 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จะมีการปรับประมาณการตัวเลขจีดีพีไทยปี 2568 อีกครั้ง โดยยังต้องรอดูว่าบทสรุปสุดท้ายแล้วตัวเลขภาษีสหรับฯ จะออกมาที่เท่าไหร่ ดังนั้นระหว่างนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำงานหนักและทำงานอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันรัฐบาลยังมีงบประมาณอีกราว 4 หมื่นล้านบาท ที่เหลือจากการจัดสรรงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งได้จัดสรรไปแล้ว 1.15 แสนล้านบาท โดยงบที่เหลือนี้ต้องมาดูถึงผลกระทบและผลสุดท้ายของเรื่องภาษีสหรัฐฯ ว่าจะรุนแรงขนาดไหน และเม็ดเงินที่เหลือนี้จะกันไว้ลงไปช่วยเหลือในส่วนใดบ้าง เพื่อเป็นการโอบอุ้มเศรษฐกิจไทยให้สามารถต่อสู้กับความท้าทายต่าง ๆ ได้ ต้องมีการพิจารณาในฉากทัศน์ต่าง ๆ อย่างรอบคอบ


