posttoday

ทรัมป์ยังบีบ Apple ทิ้งจีน Wall Street สวน “ทำไม่ได้” เสี่ยงตลาดพัง

09 กรกฎาคม 2568

ที่ปรึกษาการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ออกโรงซัด Apple อย่างหนักเหตุอุ้ยอ้ายย้ายฐานผลิตออกจากจีน Wall Street สวน “ทำไม่ได้” ชี้ต้นทุนพุ่ง-เสี่ยงตลาดพัง

 

สำนักข่าว Business Insider รายงานว่า ทีมงานของโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มออกอาการไม่พอใจที่ Apple ย้ายฐานการผลิตออกจากจีนล่าช้ากว่าที่คิด

 

ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Wall Street มองว่าผู้ผลิต iPhone รายนี้ดูจะ "ถอนตัวยาก" และผูกติดอยู่กับจีนมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจย้ายฐานผลิตไปไหนได้ง่ายๆ

 

เมื่อวันจันทร์ ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าคนสำคัญของทรัมป์ ออกมาวิจารณ์กลยุทธ์การผลิตของ Apple อย่างดุเดือดผ่านสำนักข่าว CNBC โดยระบุว่า 

 

"เหลือเชื่อจริงๆ" ที่บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Apple กลับไม่สามารถย้ายโรงงานออกจากจีนได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

 

เมื่อครั้งโดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก นาวาร์โรเล่าว่า ทิม คุก ซีอีโอของ Apple มักจะขอเวลาผัดผ่อนอยู่เสมอเพื่อจะย้ายฐานการผลิตออกจากจีน "ปัญหาของผมกับทิม คุกคือ เขาไม่เคยลงมือทำจริงจังเลยสักครั้ง" นาวาร์โรกล่าว

 

นาวาร์โรยังกล่าวเสริมอีกว่า "ด้วยเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงใหม่ๆ ทั้งหมด รวมถึงแนวโน้มของ AI และอื่นๆ ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าทำไมทิม คุกถึงยังไม่สามารถผลิต iPhone ที่อื่นทั่วโลกและในประเทศของเราไม่ได้"

 

เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทิม คุก ซีอีโอของ Apple ได้ประกาศแผนการลงทุนครั้งใหญ่ในสหรัฐอเมริกา โดยจะทุ่มงบกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ตลอด 4 ปีข้างหน้า

 

โครงการนี้ครอบคลุมหลายด้าน ทั้งการสร้างงานใหม่กว่า 20,000 ตำแหน่ง การสร้างโรงงานผลิตในเมืองฮิวสตัน และการเพิ่มงบประมาณด้านการวิจัยและพัฒนา

 

แม้ Apple จะแสดงเจตจำนงในการลงทุนในสหรัฐฯ อย่างชัดเจน แต่แรงกดดันจากฝั่งประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการให้ Apple ลดการพึ่งพาจีนก็ยังคงถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

 

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จาก Wall Street กลับมองว่า Apple ไม่สามารถถอนตัวออกจากจีนได้ง่าย ๆ โดยไม่มีผลกระทบมหาศาลตามมา

 

เพราะจีนถือเป็นฐานการผลิตหลักและตลาดสำคัญของ Apple มาอย่างยาวนาน

 

ทรัมป์ยังบีบ Apple ทิ้งจีน Wall Street สวน “ทำไม่ได้” เสี่ยงตลาดพัง

 

ทำไม Apple ถึงไม่ย้ายฐานผลิตกลับอเมริกา?

 

ประเด็นหลักที่ทำให้ Apple ไม่สามารถย้ายฐานการผลิตกลับไปยังสหรัฐอเมริกาได้ง่ายๆ คือ ต้นทุนค่าแรงที่สูงลิบลิ่ว หากผลิตในสหรัฐฯ

 

ซ้ำร้ายกว่านั้น แม้จะย้ายฐานกลับมา Apple ก็ยังต้องเผชิญกับ ภาษีนำเข้าชิ้นส่วนประกอบย่อย (sub-assemblies) ที่ยังจำเป็นต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศอยู่ดี

 

วัมซี โมฮาน นักวิเคราะห์จาก Bank of America ได้ประเมินว่า หาก Apple ตัดสินใจย้ายฐานการผลิตกลับไป ต้นทุนการผลิต iPhone อาจจะ พุ่งสูงขึ้นถึง 25% จากค่าแรงเพียงอย่างเดียว 

 

และหากรวมภาษีนำเข้าชิ้นส่วนต่างๆ เข้าไปด้วย ต้นทุนโดยรวมอาจ ทะยานขึ้นไปกว่า 90% เลยทีเดียว ซึ่งเป็นตัวเลขที่มหาศาลและส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทอย่างมาก

 

โมฮานเชื่อว่า หาก Apple จะเพิ่มการผลิตในสหรัฐฯ จริง ก็คงจำกัดอยู่แค่กระบวนการประกอบขั้นสุดท้ายเท่านั้น

 

"การย้ายห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดของ iPhone จะเป็นภารกิจที่ใหญ่กว่ามาก และอาจต้องใช้เวลาหลายปี หรืออาจเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ" เขาเขียนในบทวิเคราะห์เมื่อเดือนเมษายน

 

ด้านอีริก วูดริง นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ระบุว่า การสร้างโรงงานประกอบเพียงแห่งเดียวอาจต้องใช้เวลานานกว่า 2 ปี และต้องการพนักงานทักษะสูงด้านเครื่องมือที่มีความแม่นยำกว่า 100,000 คน

 

ซึ่ง iPhone เครื่องแรกที่ประกอบในสหรัฐฯ อาจจะยังไม่พร้อมวางจำหน่ายจนกว่าจะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ 

 

ทรัมป์ยังบีบ Apple ทิ้งจีน Wall Street สวน “ทำไม่ได้” เสี่ยงตลาดพัง

 

"Friendshoring" อาจไม่ใช่คำตอบที่ทรัมป์ต้องการ

 

อีกทางเลือกหนึ่งในการลดความเสี่ยงด้านภาษีคือ การย้ายฐานการผลิตไปยังอินเดียและเวียดนาม ซึ่ง Apple ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ระบาด 

 

แต่ท่าทีล่าสุดจากคณะทำงานของทรัมป์บ่งชี้ว่า รัฐบาลต้องการเห็นการ "Reshoring" (การย้ายฐานกลับประเทศ) อย่างจริงจัง มากกว่าแค่การ "Friendshoring" (การย้ายฐานไปยังประเทศพันธมิตร)

 

ในเดือนพฤษภาคม ทรัมป์เคยขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้า iPhone ถึง 25% แต่วูดริงเชื่อว่าอัตราดังกล่าวก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยต้นทุนการผลิตในประเทศที่สูงขึ้นได้

 

"ระยะเวลาในการนำสินค้าออกสู่ตลาดจะนานเกินไป และต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง iPhone ในสหรัฐฯ ก็จะสูงเกินไปเมื่อเทียบกับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษี 25%" วูดริงระบุ

 

สถานการณ์นี้ทำให้ Apple และทิม คุก อยู่ในสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และยังไม่ชัดเจนว่ากำแพงภาษีจะต้องสูงถึงระดับใดจึงจะทำให้การย้ายฐานกลับสหรัฐฯ มีความคุ้มค่า

 

"ความท้าทายของ Apple... เสี่ยงต่อการขึ้นภาษีที่สูงขึ้นไปอีก ภาษี 50% จะเพียงพอที่จะเปลี่ยนฐานการผลิตไปยังสหรัฐฯ หรือไม่?" วูดริงตั้งคำถาม

 

ยิ่งไปกว่านั้น การดึงโรงงานออกจากจีนอาจกลายเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจที่สำคัญในตัวเอง เพราะจีนคือหนึ่งในตลาดที่ขับเคลื่อนการเติบโตที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

 

 การย้ายฐานการผลิตออกไปอาจสร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลจีน และส่งผลกระทบต่อตลาดที่ใหญ่ที่สุดของ Apple นอกทวีปอเมริกาได้

 

"การที่ Apple ย้ายฐานการผลิตออกไปอาจสร้างความไม่พอใจให้จีนได้เช่นกัน ซึ่งอาจนำไปสู่การตอบโต้แบบเงียบๆ เช่น การเคลียร์สินค้าที่ด่านศุลกากรล่าช้า การตรวจสอบแรงงาน ฯลฯ เพื่อทำให้การดำเนินงานที่เหลืออยู่ของ Apple ในจีนยากลำบากขึ้น" โมฮานวิเคราะห์

 

แม้ว่า Apple จะพยายามกระจายความเสี่ยง โดยตั้งเป้าผลิต iPhone นอกประเทศจีนให้ได้ 25% ภายในปี 2025 แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจีนจะยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการผลิตไปอีกหลายปี

 

เพราะจีนมีความสามารถด้านการผลิตและแรงงานฝีมือในระดับที่หาตัวจับยาก ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการผลิตอุปกรณ์ที่ซับซ้อน เขากล่าวสรุป

 

ไม่ว่าจะมองในมุมใด โมเดลธุรกิจปัจจุบันของ Apple นั้นหยั่งรากลึกในจีนอย่างแยกไม่ออก

 

ผู้ผลิต iPhone รายนี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะไม่ว่าจะตัดสินใจ "อยู่ต่อ" หรือ "ถอนตัว" ก็ล้วนแต่ส่งผลกระทบรุนแรงตามมาทั้งสิ้น

 

ข่าวล่าสุด

"ธรรมนัส” เผย 25 ธ.ค.นี้ กล้าธรรมเปิดตัวสส.ทั้งเขต-ปาร์ตี้ลิสต์