ลองขับ : มิตซูฯ ไทรทัน2.5 ติดเทอร์โบเสริมแรง-ลดสิ้นเปลือง!!
ลองขับ มิตซูบิชิ ไทรทัน 2.5 วีจี เทอร์โบ 178 แรงม้า ติดเทอร์โบเสริมพลัง...ลดสิ้นเปลือง!!!
ลองขับ มิตซูบิชิ ไทรทัน 2.5 วีจี เทอร์โบ 178 แรงม้า ติดเทอร์โบเสริมพลัง...ลดสิ้นเปลือง!!!
โดย...พิสันต์ อิทธิวัฒนกุล
นับเป็นการเปิดตลาดชิมลางกันตั้งแต่ต้นปี สำหรับมิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) ที่นายใหญ่ โนบุยูกิ มูราฮาชิ ประกาศเดินหน้าลุยตั้งแต่เปิดหัวปี ด้วยการส่งเครื่องยนต์ วีจีที มาติดตั้งในปิกอัพอย่างไทรทันและพีพีวีอย่างปาเจโร สปอร์ต เพื่อออกกำลังเรียกลูกค้าอีกระลอก
เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 วีจี เทอร์โบ นี้จะมองว่าใหม่ก็ใหม่ จะมองว่าไม่ใหม่ก็ไม่ใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ในช่วงท้ายๆ ของสตราด้าก็มีการนำเทคโนโลยี วีจี เทอร์โบ มาติดตั้งกับเครื่องยนต์ 2.8 ลิตรไปแล้ว จะบอกว่าค่ายตราเพชรหันมาคบเหล้าเก่าในขวดใหม่ก็คงไม่ผิด
ต้องถือเป็นการแก้เกมครั้งใหญ่ หลังจากที่กระแสราคาน้ำมันเริ่มกลับมาแพงอีกรอบ ทำให้เริ่มมีกระแสกลัวรถปิกอัพเครื่องยนต์ใหญ่ในประเทศไทยอีกครั้ง การเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ขนาดกำลังดีพร้อมอุปกรณ์เสริมแรง เลยเป็นแนวทางที่มิตซูบิชิตัดสินใจเลือกในที่สุด
และก็รวดเร็วมากในการจัดทดสอบกันอย่างสนุกสนาน บนเส้นทางกรุงเทพฯ-เขาค้อ ที่พาตะลุยไปจนถึงอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง เพื่อที่จะให้ทดสอบสมรรถนะกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเรื่องเครื่องยนต์ ช่วงล่าง ระบบควบคุมรถ ว่ามีการพัฒนามาจากรุ่นเดิมมากน้อยเพียงใด
แม้ว่าในทริปทดสอบจะเตรียมรถไว้ให้แบบครบครัน ทั้งปาเจโร สปอร์ต ขับเคลื่อน 2 และ 4 ล้อ รวมไปถึงไทรทัน ขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่เวลาเกือบทั้งหมดของการขับทดสอบของผมในทริปนี้ ใช้ไปกับการอยู่หลังพวงมาลัยของ มิตซูบิชิ ไทรทัน พลัส ขับเคลื่อน 2 ล้อ ยกสูง ซึ่งถือเป็นรุ่นที่มียอดจำหน่ายมหาศาลในกลุ่มไทรทันด้วยกันเอง ส่วน ปาเจโร สปอร์ต คงต้องขอพักไว้เป็นคราวถัดไป
การเปลี่ยนแปลงภายนอกต้องบอกว่ามีการปรับปรุงในรายละเอียดจุกจิก แต่ก็เล็กน้อยมากจนเรียกว่ามองเผินๆ คงแทบไม่รู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรเป็นหลัก รุ่นดับเบิลแค็บ จีแอลเอสที่ใช้เป็นพาหนะมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงหลักๆ ที่กระบะท้ายที่ยาวและสูงขึ้น กระจกมองข้างปรับและพับด้วยไฟฟ้า นอกนั้นก็มองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงมากนัก
หัวใจหลักของการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่การใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร ดีไอ-ดี ไฮเปอร์คอมมอนเรล 4 สูบ 16 วาล์ว มาพร้อมวีจี เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ พร้อมท่อร่วมไอดีแบบทวิน อินเทคแมนิโฟลด์ ที่ให้กำลังสูงสุด 178 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที สูงสุดในบรรดาเครื่องยนต์ระดับเดียวกัน ซึ่งในรุ่นเกียร์อัตโนมัติมาพร้อมแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800–3,500 รอบต่อนาที
เครื่องยนต์ใหม่ที่ติดตั้งมาให้กำลังแบบทันใจครับ ไม่ได้แตกต่างอะไรจากรุ่น 3.2 ลิตร ที่เคยติดตั้งมาก่อนหน้าแม้แต่น้อย เรียกว่ากดเป็นมา กดเป็นมาตลอด ถ้ากดคันเร่งไปเรื่อยๆ แบบไม่ดูมาตรวัดความเร็วนี่มีทะลุ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเอาได้ง่ายๆ
อัตราเร่งมหาศาลที่ได้มา ทำให้เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด แบบเปลี่ยนเกียร์ได้ตามใจผู้ขับแทบจะไม่ได้ใช้เลยครับ แต่พอลองใช้ดูก็รู้สึกว่าระบบเกียร์ทำงานฉับไวดี กระชับและตอบสนองต่อการใช้งานจริงไม่น้อย
ระบบช่วงล่างที่ดีอยู่แล้ว ก็ยังเป็นจุดขายสำหรับไทรทันเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งทำความเร็วสูงบนท้องถนน ที่ให้ความมั่นใจในการขับขี่ การเร่งแซงที่ความเร็วสูงก็ไม่ได้ทำให้ตัวรถเกิดปัญหาในการควบคุมแต่อย่างใด ให้ความมั่นใจกว่ารถปิกอัพหลายรุ่นที่ขายดีกว่าเสียด้วยซ้ำ
การเก็บเสียงของไทรทันถือว่าดีเลยครับ มีเสียงลอดเข้ามาด้านใต้ตัวรถอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รบกวนอะไร ต้องเข้าใจว่าเป็นธรรมชาติของรถยกสูงอยู่แล้ว เก็บเสียงลมปะทะด้านหน้าตัวรถมาอย่างเรียบร้อย ไม่รบกวนเสียงเพลงที่ดังออกมาจากเครื่องเสียงแม้แต่น้อย
ลองเอารถขับ 2 ล้อ ยกสูงคันนี้เข้าไปวิ่งตะลุยทางฝุ่นที่มีร่องน้ำขนาดใหญ่ แถมยังขึ้นเนิน ลงเนิน ในอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวงดู ตัวรถมีดิ้น มีดื้อบ้างเล็กน้อย แตกต่างจากรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ดูตะลุยทางกันดีเหลือเกิน แต่ด้วยกำลังอันเหลือเฟือ ก็พาให้รถตะลุยตามพี่ๆ ไปได้อย่างไม่ยากเย็น แม้จะมีขวางทางปาเจโรคันใหญ่ของนายใหญ่ที่ตามเข้าไปด้วยในบางช่วงก็ตาม
เรื่องกำลัง เรื่องช่วงล่าง หายห่วง เหลือเรื่องเดียวที่อาจจะเป็นปัญหาคาใจก็คือเรื่องของอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมัน ที่ต้องบอกว่าอยู่ในระดับไม่เลวร้ายครับ แม้จะมีการจัดการทดสอบอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน ที่ให้วิ่งกันที่ความเร็ว 90 และ 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอยู่แล้ว แต่ก็จะไม่เอาตัวเลขในการทดสอบนั้นมาใช้นะครับ เพราะดูเหมือนแต่ละคนจะปล่อยฝีมือแข่งประหยัดกันเต็มที่
แต่ในการใช้งานจริงที่มีไทรทัน ขับเคลื่อน 4 ล้อคันหนึ่ง วิ่งด้วยความเร็วเฉลี่ยเกิน 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างแน่นอน
สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยได้ที่ระดับ 9-10 กิโลเมตรต่อลิตร เอามาบวกลบคูณหารกับการขับแบบประหยัดดูแล้ว เครื่องยนต์ 2.5 วีจีที รุ่นนี้ น่าจะทำอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันในระดับ 10-12 กิโลเมตรต่อลิตรเป็นอย่างต่ำ ที่ความเร็วของการใช้งานจริง 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีและน่าสนใจไม่น้อย สำหรับการนำเครื่องยนต์วีจีทีมาติดตั้งเพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องการเพิ่มอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงจากรุ่น 3.2 ลิตรเดิม แต่ต้องเพิ่มความแรงให้มากกว่ารุ่น 2.5 ลิตรเดิม แถมต้องทำให้ไม่น้อยหน้าเครื่องตัวท็อปรุ่นเดิมเสียอีก
จัดรถมาดีขนาดนี้แล้ว ที่เหลือก็แค่วัดความสามารถของทีมการตลาดค่ายตราเพชรว่าจะปั้นยอดขายอย่างไร เพราะครึ่งหลังของปีนี้ คู่แข่งเตรียมจัดกันมาเพียบแน่นอน!!!


